KEY
POINTS
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า สำหรับการประชุมสัมมนารับฟังคามคิดเห็นโครงการศึกษาการกำหนดอัตราขั้นสูงและหลักเกณฑ์การทบทวนอัตราค่าขนส่งค่าใช้ประโยชน์จากรางค่าบริการในการประกอบกิจการขนส่งทางราง
ซึ่งโครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าและเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จากทางรางได้สะดวกมากขึ้น
ทั้งนี้กรมฯได้มีการกำหนดให้การขนส่งสินค้าในระยะทางใกล้จะมีต้นทุนแพงขึ้น หากเอกชนมีการใช้ประโยชน์จากทางรางในเส้นทางที่มีระยะไกลจะทำให้มีต้นทุนถูกลง จากผลการศึกษาของโครงการพบว่าในกรณีที่มีเอกชนมาใช้ประโยชน์จากทางราง จะทำให้ รฟท.มีรายได้เพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาทต่อปี
สำหรับต้นทุนการคิดค่าใช้ประโยชน์ราง ในปี 2566 พบว่า ปริมาณการขนส่งสินค้า 2,904 ล้านตันต่อกิโลเมตร (กม.) มีต้นทุนอยู่ที่ 510 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าบำรุงรักษารางรถไฟและระบบสัญญาณ 257 ล้านบาท งานควบคุมการเดินรถฝ่ายโยธาและอื่นๆ 14 ล้านบาท
งานควบคุมและบริหารจุดตัด 1 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายสถานี 129 ล้านบาท ค่าซ่อมบำรุงอื่นๆ (สถานีและโรงซ่อม) 60 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆในการเดินรถ 47 ล้านบาท ซึ่งมีค่าเฉลี่ยต้นทุนอยู่ที่ 0.17 ล้านตันต่อกิโลเมตร (กม.) ถูกกว่า
เมื่อเทียบกับต้นทุนค่าใช้หัวรถจักรและแคร่ในปี 2566 พบว่า ปริมาณการขนส่งสินค้า 2,904 ล้านตันต่อกิโลเมตร (กม.) มีต้นทุนอยู่ที่ 1,043 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าจ้างประจำปีของพนักงานขับรถไฟและเจ้าหน้าที่ประจำขบวน 632 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายประจำปี (ค่าเปลี่ยนหัวรถจักรและค่าทำความสะอาด/ค่าอุบัติเหตุ) 43 ล้านบาท ค่าบำรุงใช้จ่ายรักษาหัวรถจักรรายปี 363 ล้านบาท ค่าดำเนินการสำหรับเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น 7.6 แสนบาท ซึ่งมีค่าเฉลี่ยต้นทุนอยู่ที่ 0.35 ล้านตันต่อกิโลเมตร (กม.)
“ปัจจุบันได้รับข้อมูลจากการรถไฟแห่งงประเทศไทย (รฟท.) ว่าการขนส่งสินค้าในแต่ละครั้ง หากมีการวิ่งขนส่งสินค้าในระยะใกล้จะทำให้ขาดทุนแทบทุกขบวนอย่างต่อเนื่อง แต่รฟท.จะได้เปรียบและมีรายได้เพิ่มต่อเมื่อมีการขนส่งสินค้าทางไกลมากขึ้น” นายพิเชฐ กล่าว
นายพิเชฐ กล่าวต่อว่า หลังจากเปิดรับฟังความเห็นในครั้งนี้แล้วเสร็จจะรวบรวมสรุปข้อมูลก่อนนำมากำหนดในร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. …. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย โดยที่ผ่านมาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 3 วาระ แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาจากวุฒิสภา (สว.) ซึ่งจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 30-60 วัน ก่อนมีมติเห็นชอบ
จากนั้นจะดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรอง จำนวน 70 ฉบับ และออกกฎกระทรวง ใช้ระยะเวลาอีก 1 เดือน และเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในเดือนต.ค.นี้ คาดว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะประกาศพร้อมมีผลบังคับใช้ภายในปี 2568
“กรณีที่มีรัฐบาลใหม่เข้ามาจะส่งผลกระทบต่อพ.ร.บ.กรมรางฯและโครงการนี้หรือไม่นั้น มองว่าจะกระทบต่อเมื่อมีการยุบสภา ซึ่งจะรอการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ภายใน 60 วัน” นายพิเชฐ กล่าว
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาครม.ได้มีการอนุมัติจัดซื้อแคร่ขนสินค้า จำนวน 956 แคร่ ขณะนี้รฟท.อยู่ระหว่างประกวดราคา คาดว่าจะสามารถนำมาให้บริการได้ภายในปี 2569 ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่จูงใจให้เอกชนเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันภายหลังร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว โดยเอกชนสามารถเข้ามาเจรจาทำสัญญาการใช้ประโยชน์ทางรางจากรฟท.ได้โดยตรง ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนไขขึ้นอยู่กับข้อตกลงร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย
โดยไม่ต้องอาศัยการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เนื่องจากตามกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้ยกเว้นการร่วมลงทุน PPP ซึ่งทางกระทรวงการคลังเห็นชอบในเรื่องนี้แล้ว คาดว่าเอกชนจะเข้ามาใช้บริการได้ภายในปลายปี 2568
สำหรับอัตราขั้นสูงของการขนส่งสินค้าทางราง ดังนี้ 1.การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ ขนาด 20 ฟุต ปริมาณตู้สินค้า 62 ตัน ระยะทาง 100 กม. เที่ยวเปล่าอยู่ที่ 348 บาทและเที่ยวรถบรรทุกอยู่ที่ 521 บาท
2.การขนส่งปูนซีเมนต์ ระยะทางไม่เกิน 100 กม. อยู่ที่ 78 บาทต่อตัน 3.การขนส่งน้ำมันดิบและน้ำมันใส ระยะทางไม่เกิน 100 กม. อยู่ที่ 65 บาทต่อกิโลลิตร
4.การขนส่งแก๊ซ LPG ระยะทางไม่เกิน 100 กม. อยู่ที่ 41 บาทต่อกิโลลิตร 5.การขนส่งสินค้าอื่นๆ ระยะทางไม่เกิน 100 กม. อยู่ที่ 78 บาทต่อตัน
6.การขนส่งวัตถุอันตราย Class 9 ระยะทางไม่เกิน 100 กม. รถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ มากกว่า 62 ตัน อยู่ที่ 1,738 บาทต่อทีอียู และรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ปริมาณสินค้ามากกว่า 62 ตัน อยู่ที่ 2,260 บาทต่อทีอียู
อย่างไรก็ดีกรมฯยังมีมาตรการการทดลองใช้รางครั้งแรกจะมอบเงินคืนให้แก่เอกชนในอัตรา 20% ของค่าระวาง สำหรับการขนส่งสูงสุด 60 ตู้คอนเทนเนอร์ (ทีอียู) หรือ 324,300 ตันต่อกิโลเมตร (กม.) ภายในเวลา 1 ปี ทั้งนี้ต้องเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ปัจจุบันขนส่งสินค้าทางถนนและยังไม่เคยใช้บริการขนส่งสินค้าทางรางมาก่อน