KEY
POINTS
การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองอย่างฉับพลัน จนนำไปสู่การชิงไหวชิงพริบจัดตั้งรัฐบาล ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าบริหารประเทศที่น่าจับตา โครงการขนาดใหญ่
โดยเฉพาะของกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีหลายโครงการเร่งด่วนรอรัฐบาลชุดใหม่ ผลักดันต่อเนื่อง ขณะเดียวกันหลายฝ่ายมีความกังวลว่าอาจมีบางโครงการที่ไม่ได้ไปต่อ เนื่องจากเป็นโครงการเรือธงของรัฐบาลชุดก่อนหาเสียงไว้
จากการตรวจสอบของ“ฐานเศรษฐกิจ” พบว่า มีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณาครม.ชุดใหม่และบางโครงการต้องรอการสานต่อจากพรรครัฐบาลใหม่ รวม 12 โครงการ วงเงิน 1.8 ล้านล้านบาท
ปัจจุบันมีหลายโครงการอยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)
นอกจากนี้ได้เร่งรัดโครงการต่างๆ ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมครม. แล้ว ให้เปิดประกวดราคา และเริ่มงานก่อสร้างภายในปีงบประมาณ 2569
โครงการสำคัญที่กระทรวงคมนาคมเร่งผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของครม. อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เหลืออีก 6 เส้นทาง
ในปัจจุบันกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้หารือร่วมกับผู้แทนจากสศช. โดยชี้แจงรายละเอียดการดำเนินโครงการฯ อย่างครบถ้วนแล้ว
ขณะที่การหารือกับสศช.ในช่วงที่ผ่านมาได้ข้อสรุปว่า ภายหลังโครงการรถไฟทางคู่ เฟส 2 ทั้ง 6 เส้นทาง ระยะทาง 1,312 กม. วงเงินรวมประมาณ 1,795,067 ล้านล้านบาท
หากผ่านความเห็นชอบจากครม. จะเริ่มดำเนินการก่อนใน 3 เส้นทางแรก ได้แก่ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กม. วงเงิน 81,143 ล้านบาท, ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กม. วงเงิน 30,422 ล้านบาท และช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลาระยะทาง 321 กม. วงเงิน 66,270 ล้านบาท
รวมถึงโครงการมอเตอร์เวย์สายใหม่ ของกรมทางหลวงที่ต้องผลักดันเป็นการด่วน
อีกโครงการเรืองธงของรัฐบาลเพื่อไทยตั้งแต่สมัย นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อเนื่องมาถึง รัฐบาลแพทองธาร โดยมองว่า โครงการแลนด์บริดจ์ จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำ (Transshipment Port) ของภูมิภาค เชื่อมโยงท่าเรืออ่าวไทย (ชุมพร) และท่าเรืออันดามัน (ระนอง)
เพื่อใช้เป็นทางเลือกในการขนส่งสินค้าทางทะเลแทนการผ่านช่องแคบมะละกาโดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมในระดับโลก
โดยจะสอดคล้องกับนโยบายหาเสียงของพรรคภูมิใจไทยประเมินว่า มีแนวโน้มรัฐบาลชุดใหม่จะผลักดันจากกระทรวงคมนาคมหลังจากจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนไปแล้ว 2 ครั้ง
ขณะโครงการไฮไลต์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่ายังมีโครงการขนาดใหญ่ที่ผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้ว แต่ยังต้องรอรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อ จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย
นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งตามแผนเดิมจะประกาศใช้ได้ทุกสีทุกสายภายในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้
หลังจากมีผู้ลงทะเบียนทะลุกว่า 2.5 แสนรายแล้ว โดยจะใช้เงินจากรายได้รฟม.มาอุดหนุนเพื่อชดเชยรายได้ในช่วง 2 ปีแรก ประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม ประเมินว่า จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะกระทบต่อนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายหรือไม่นั้น
ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการระบบตั๋วร่วมพ.ศ. ,ร่าง พ.ร.บ.รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 และร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางรางฯ ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 3 แล้ว จากนั้นจะส่งไปยังวุฒิสภาพิจารณาต่อไป
“ถึงแม้ว่าร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับผ่านความเห็นชอบจากสภาฯแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าเห็นด้วยพร้อมดำเนินการต่อหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ก็ยังดำเนินการตามปกติ” แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าว
ด้านความคืบหน้าโครงการบ้านเพื่อคนไทย มูลค่ารวมประมาณ 4,685 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าเช่าพื้นที่จาก รฟท.ประมาณ 100 ล้านบาท ค่าลงทุนช่วงเตรียมโครงการประมาณ 260.9 ล้านบาท ค่าก่อสร้างประมาณ 3,459 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายระหว่างดำเนินโครงการประมาณ 864 ล้านบาท
ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้กำหนดวันจับสลากคัดเลือกผู้ลงทะเบียนโครงการบ้านเพื่อคนไทย ในช่วงบ่ายของวันที่ 18 กันยายน 2568 ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
จากข้อมูลจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พบว่า มีผู้ลงทะเบียนในโครงการบ้านเพื่อคนไทยที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น มีจำนวนทั้งสิ้น 126,000 ราย
อีกทั้งในปัจจุบันยังมีการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนโครงการในจังหวัดเชียงใหม่ ระยะที่ 2 อีกเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับโครงการบ้านเพื่อคนไทยนำร่องพื้นที่ 4 แปลงบนที่ดินรฟท. ประกอบด้วย พื้นที่บางซื่อกม.11 เนื้อที่ 8,000 ตารางเมตร จัดเป็นที่พักอาศัยได้ประมาณ 1,300 หน่วย
พื้นที่รอบสถานีรถไฟธนบุรี (ศิริราช) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 35,061 ตารางเมตร จัดเป็นพื้นที่ที่พักได้ประมาณ 2,100 หน่วย
พื้นที่รอบสถานีรถไฟจังหวัดเชียงใหม่ สามารถจัดเป็นพื้นที่พักอาศัยได้ประมาณ 574 หน่วย พื้นที่รอบสถานีรถไฟเชียงราก จังหวัดปทุมธานี สามารถจัดเป็นพื้นที่พักอาศัยได้ประมาณ 210 หน่วย
ที่น่าจับตาโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซียังต้องรอการขับเคลื่อนจากรัฐบาลใหม่ ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา)
ล่าสุดอัยการสูงสุดได้ตอบกลับร่างแก้ไขสัญญาโครงการมาที่ รฟท. เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ตามแผนคาดว่าคณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาฯ จะมีการประชุมภายในวันที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งโดยรวมโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบินไม่น่ามีปัญหา แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดสุญญากาศ
ขณะที่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกที่ยังมีขั้นตอนดำเนินการอีกมาก นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี (EEC) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก อาจมีความล่าช้าออกไปอีก
จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงสูญญากาศ รวมถึงการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ ส่งผลให้ทางอีอีซี จะยังไม่สามารถนำเรื่องเข้าครม.ในการแจ้ง “เพื่อทราบ” ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่ให้อีอีซี ต้องนำเรื่องรายงานครม.เพื่อทราบใน 2 เรื่อง ได้แก่
1.รับทราบ ปัญหาอุปสรรค ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายหลังการลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ ซึ่งกระทบความเป็นไปได้ทางการเงินของโครงการอย่างร้ายแรง มีผลให้เอกชนคู่สัญญาไม่สามารถดำเนินโครงการฯ ได้ตามสัญญาร่วมลงทุนของโครงการฯ รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาครัฐ
2. มอบหมายให้ สกพอ. เจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคตามข้อเท็จจริงทั้งหมดบนพื้นฐานความสมเหตุสมผลกับเอกชนคู่สัญญา เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯและการเกิดการลงทุนโครงการได้จริง
ทั้งนี้หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ให้ดำเนินการตามกระบวนการแก้ไขสัญญาร่วมประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธี และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม)
ดังนั้นอีอีซี จำเป็นต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะสามารถนำเสนอต่อ ครม.ชุดใหม่ได้ ซึ่งเดิมทีก่อนหน้านี้อีอีซี ก็ได้นำเรื่องนี้เสนอไปแล้ว
ตอนแรกก็คาดว่าจะมีการนำเรื่องเข้าครม.เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้มีการนำเรื่องเข้าครม. จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น
นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพจำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้นบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ ผู้ถือหุ้นทุกฝ่าย มีวัตถุประสงค์หลัก คือ ต้องการให้โครงการเดินหน้า ไม่ใช่การยกเลิกสัญญา
เพราะฉะนั้นจึงมีการหารือร่วมกันระหว่าง UTA และ EEC เพื่อหาทางออก เพื่อพิจารณาแนวทางและอาจมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเล็กน้อย เพื่อให้เป็นที่ยอมรับร่วมกันได้
การเจรจามองในลักษณะของการทำงานร่วมกันและช่วยกันแก้ไขปัญหา
ส่วนปัญหาทางการเมืองที่ยังสะดุดอยู่ รวมถึงเรื่องที่ต้องรอเข้าครม. ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้ไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนได้ว่าโครงการจะเข้า ครม. ได้เมื่อใด เพราะต้องรอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้เรียบร้อยก่อน
อย่างไรก็ตามก็จะมีบางเรื่องที่จะหารือกับอีอีซีที่บางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้องเข้า ครม. หากอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของอีอีซี ก็น่าจะพอดำเนินการไปได้
นอกจากนี้จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น ยังส่งผลให้โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวจำนวน 2 โครงการที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในรัฐบาลชุดเดิมเตรียมเสนอ ต้องชะงักไป ได้แก่
1.โครงการ Buy International, Free Thailand Domestic Flights ที่จะของบ 700 ล้านบาท ซึ่งททท. จะรวมกับ 6 สายการบินภายในประเทศไทย (AirAsia, Bangkok Airways, Nok Air, Thai Airways, Thai Lion Air, Thai Vietjet Air) จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย Joint Promotion
โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินราคาปกติ เข้ามาประเทศไทย จะได้รับบัตรโดยสารฟรี ไป-กลับ เส้นทางภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จำนวนไม่น้อยกว่า 200,000 คน
ที่เดินทางเข้าประเทศไทย รวมถึงการขอสนับสนุนงบ 50 ล้านบาทสำหรับการจัดกิจกรรมต่างๆในเทศกาลดีวาลี ในกรุงเทพและต่างจังหวัด