KEY
POINTS
โครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะหรือ เมืองหลวงของอีอีซี 1 ในบิ๊กโปรเจ็กต์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออก เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve Target Industries) ในอนาคต ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1 หมื่นล้านบาท
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ความคืบหน้าโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ (EEC Capital City: EECiti )มูลค่าการลงทุนประมาณที่ 1.34 ล้านล้านบาท
ขณะนี้อีอีซีอยู่ระหว่างการศึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางและคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPP) ในโครงการ EECiti เช่น ระบบไฟฟ้าและพลังงาน ระบบบริหารจัดการน้ำ ระบบบริหารจัดการของเสีย
ระบบคมนาคมและขนส่ง ระบบดิจิทัล ระบบอุโมงค์สาธารณูปโภคใต้ดิน (Common Utility Duct) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักลงทุนเข้าพัฒนาพื้นที่คลัสเตอร์ธุรกิจ 6 ด้านต่อไป
ขณะเดียวกันโครงการนี้จะใช้รูปแบบการร่วมลงทุนตามระเบียบ PPP EEC Track เบื้องต้นจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดกพอ.) เห็นชอบภายในเดือนก.ย.นี้
จากนั้นจะดำเนินการจัดทำร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน (RFP) คาดว่าจะประกาศเชิญชวนได้ภายในกลางปี 2569 และดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี ซึ่งสอดรับกับโครงการต่างๆที่จะเกิดในพื้นที่อีอีซีแล้วเสร็จภายในปี 2572
“ในพื้นที่อีอีซีเอกชนสามารถร่วมลงทุนในสัญญาสัมปทานถึง 50 ปี เราพยายามทำให้เมืองนี้เป็น Net Zero โดยตั้งเป้าเมืองในระยะอีก 10 ปีข้างหน้าจะได้เห็นเทรนด์ใหม่ๆในเมืองที่เกิดขึ้น โดยเป็นการดีไซน์ทั้งด้านระบบสาธารณูปโภค ที่ไม่เพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะทำให้นักลงทุนสนใจมาร่วมทุนมากขึ้น” นายจุฬา กล่าว
ที่ผ่านมาครม. ได้เห็นชอบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ EECiti ระยะที่ 1 พื้นที่ประมาณ 5,795 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 14,619 ไร่ โดยพื้นที่ 3 โซนหลักของเมืองใหม่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่
1.โซนศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ มีพื้นที่ 5,795 ไร่ โดยโซนนี้มีเป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์กลางธุรกิจ อาคารสำนักงาน การอยู่อาศัย และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
2.โซนนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) มีพื้นที่ 5,000 ไร่ ซึ่งจะมีการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมสีเขียว
3.โซน BCG (Bio-Circular-Green Economy) มีพื้นที่ 1,500 ไร่ เป็นพื้นที่ที่เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการสร้างสปอร์ต คอมเพล็กซ์ โดยร่วมมือกับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเมือง
นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะต้องลงทุนในพื้นที่นี้ ประกอบด้วย 1.โครงข่ายถนน เพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายถนนภายนอกโครงการ 4 ด้าน โครงข่ายถนนภายในพื้นที่โครงการ โครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะสำหรับเชื่อมพื้นที่โครงการกับ 4 เมืองหลัก
และโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะภายในพื้นที่โครงการ 2.ระบบผลิตน้ำประปา มีความต้องการใช้น้ำประปาประมาณ 69,000 ลบ.ม.ต่อวัน 3.ระบบบำบัดน้ำเสีย มีปริมาณน้ำเสียประมาณ 55,000 ลบ.ม.ต่อวันพร้อมจัดเตรียมระบบผลิตน้ำรีไซเคิล
4.ระบบการจัดการขยะ รองรับปริมาณขยะประมาณ 426 ตันต่อวัน 5.ระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีความต้องการไฟฟ้าอย่างน้อย 439 MW
6.อุโมงค์สาธารณูปโภค ระยะทางประมาณ 100 กม. สำหรับโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะมีพื้นที่ประมาณ 14,619 ไร่ ตั้งอยู่ใน ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อยู่ห่างจากพัทยาจอมเทียนประมาณ 10 กม. และห่างจากสนามบินอู่ตะเภาประมาณ 15 กม. ติดทางหลวงหมายเลข 331 และอยู่ภายในรัศมี 30 กม. รอบสนามบินอู่ตะเภา
นายจุฬา ให้สัมภาษณ์ต่อว่า ด้านความคืบหน้าการแก้ไขร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิอู่ตะเภา) ขณะนี้อยู่ระหว่างรออัยการสูงสุดตรวจสอบร่างแก้ไขสัญญาฯคาดแล้วเสร็จภายในเดือนนี้
จากนั้นจะเสนอต่อคณะทำงานทั้ง 3 ฝ่ายเห็นชอบก่อนนำเสนอต่อ กพอ.พิจารณาภายในเดือนก.ค.2568 และเสนอต่อครม.เห็นชอบ พร้อมดำเนินการลงนามแก้ไขสัญญาร่วมกันได้ภายในเดือนส.ค.2568 ซึ่งเอกชนมีระยะเวลาก่อสร้างราว 3-4 ปี รวมการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2572
ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ที่มี บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่นจำกัด (UTA) ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ,บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ,บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับสัมปทาน วงเงิน 290,000 ล้านบาท โดยกองทัพเรือ และ UTA ลงนามสัญญา เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563
ทั้งนี้ตามแผนกำหนดออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ให้เอกชนเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2568 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งตามสัญญากำหนดไว้ว่าหลังลงนามสัญญาจะต้องเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายใน 5 ปี
ขณะนี้ติดปัญหาในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) เบื้องต้นอีอีซีอยู่ระหว่างเจราจาเอกชนเพื่อปรับสัญญาในการปลดล็อคเงื่อนไขดังกล่าว โดยให้เอกชนสามารถเดินหน้าต่อได้
อย่างไรก็ดีการเจราจากับเอกชนผู้รับสัมปทาน มีการขยายเวลาออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ถึงสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งแพ็คเก็จที่จะเริ่มดำเนินการอยู่ระหว่างการเสนอต่อที่ประชุมกพอ.
ที่ผ่านมาเอกชนรอให้โครงการไฮปีด 3 สนามบินเดินหน้าแต่ปัจจุบันยังไม่เริ่มดำเนินการ ทำให้สนามบินอู่ตะเภาไม่สามารถก่อสร้างได้ คาดว่าจะเจราจากับเอกชนให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิย.2568 จากนั้นจะเสนอต่อกพอ.เห็นชอบภายในต้นเดือนก.ค.2568
ปิดท้ายที่ความคืบหน้าโครงการร่วมลงทุนในโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการขอยกเลิกโครงการร่ววมทุนกับการบินไทย
ตามที่ ครม. อนุมัติไว้ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 เนื่องจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่ปี 2563 ทำให้ไม่สามารถเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่สนามบินอู่ตะเภาได้
ทั้งนี้ตามแผนได้ผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้ว เบื้องต้นอีอีซีจะนำที่ดินในโครงการดังกล่าวประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุน
ขณะเดียวกันอีอีซีได้หารือร่วมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA จะเชิญมาลงทุนด้วย ซึ่งให้สิทธินักลงทุนในไทยก่อน คาดว่าจะเห็นการก่อสร้างโครงการได้ภายในปีนี้
เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,109 วันที่ 29 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568