ทำแน่ “อีอีซี” จ่อเด้งรับ ครม. ซุ่มจีบบินไทย-BA ปลดล็อคสร้าง “MRO อู่ตะเภา”

17 มิ.ย. 2568 | 04:06 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มิ.ย. 2568 | 04:10 น.

“อีอีซี” ลุ้นครม.เคาะยกเลิกบินไทยร่วมทุน “ศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO อู่ตะเภา” หลังพ้นสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ เตรียมเปิดเอกชนร่วมทุน ปลดล็อคบินไทย-BA ดึงร่วมทุนใหม่ มั่นใจตอกเสาเข็มภายในปีนี้

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า วันนี้ (17 มิ.ย.2568) อีอีซีได้เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอยกเลิกการเป็นโครงการร่วมลงทุนในโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) ตามที่ ครม. อนุมัติไว้ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 เนื่องจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่ปี 2563 ทำให้ไม่สามารถเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul : MRO) ที่สนามบินอู่ตะเภาได้ 

ทั้งนี้ตามแผนหากผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้ว เบื้องต้นอีอีซีจะนำที่ดินในโครงการดังกล่าวประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุน ขณะเดียวกันอีอีซีได้หารือร่วมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ผู้ให้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์สจะเชิญมาลงทุนด้วย ซึ่งให้สิทธินักลงทุนในไทยก่อน 

นายจุฬา กล่าวต่อว่า จากการที่หารือร่วมกับการบินไทยพบว่าทางเอกชนมีความพร้อมที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO อู่ตะเภา ซึ่งทราบว่ามีการเตรียมเงินลงทุนไว้แล้ว ซึ่งการเดินหน้าศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO อู่ตะเภา ถือเป็นโครงการที่จะสร้างรายได้ให้แก่ภาคการบิน 
 

“มั่นใจว่าทำได้จริง เพราะการยกเลิกมติครม.เดิมถือเป็นการปลดล็อคให้การบินไทย เพราะรันเวย์มาแน่ๆ รวมถึงอาคารผู้โดยสารของ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ที่เริ่มดำเนินการ คาดว่าจะได้เห็นการก่อสร้างโครงการฯภายในปีนี้ เราพยายามผลักดันให้ศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO อู่ตะเภาเดินหน้าไปพร้อมกัน เพราะทั้ง 3 โครงการจะเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดภาคการบิน” นายจุฬา กล่าว 

นายจุฬา กล่าวงต่อว่า หากมีผู้มาขอเช่าเครื่องบินได้ต้องเป็นเอกชนที่มีเครื่องบิน ซึ่งพบว่าในประเทศไทยเอกชนที่มีเครื่องบินมากที่สุด คือการบินไทย ทำให้อีอีซีต้องเชิญชวนการบินไทยมาร่วมลงทุนอยู่แล้ว เพราะมีประสบการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งการบินไทยสามารถหาพาร์ทเนอร์มาเข้าร่วมเพื่อซ่อมเครื่องบินให้กับสายการบินในภูมิภาคได้ 

อย่างไรก็ตามปัจจุบันตลาดการบินในไทยมักนำเครื่องบินไปซ่อมในต่างประเทศอยู่แล้ว เนื่องจากอุปกรณ์ไม่เพียงพอ หากศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO อู่ตะเภาสามารถเกิดขึ้นได้จะถือเป็นศูนย์ซ่อมที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่สามารถรองรับตลาดการบินในไทยและต่างประเทศได้ด้วย หากเครื่องบินในต่างประเทสมีปัญหาก็สามารถมาซ่อมที่โครงการฯได้ 
 

ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 4/2567 มีมติเห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา จากการที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่ปี 2563 ทำให้ไม่สามารถเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul : MRO) ที่สนามบินอู่ตะเภาได้ 

ขณะเดียวกัน สกพอ. เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และการยกระดับขีดความสามารถในการให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยานของประเทศไทย ตลอดจนเพิ่มศักยภาพของช่างอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล 

นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต้องขับเคลื่อนการดำเนินโครงการต่อไปให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป กพอ. ได้มีมติเห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการ โดยให้ยกเลิกการเป็นโครงการร่วมลงทุนตามที่ ครม. อนุมัติไว้ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 

อย่างไรก็ดีที่ประชุมกพอ.ให้ สกพอ. ดำเนินการจัดหาผู้เช่าที่ดินราชพัสดุในเขตส่งเสริม : เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เพื่อดำเนินกิจกรรมศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 และ ระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข การเช่าที่ดินราชพัสดุที่ประกาศเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. 2562 ต่อไป