ศาลฟันธง รฟท.ต้องจ่าย 4.2 พันล้าน คดีรถไฟฟ้าสายสีแดง ภายใน 60 วัน

10 เม.ย. 2568 | 09:26 น.
อัปเดตล่าสุด :10 เม.ย. 2568 | 09:41 น.

ศาลปกครองกลางชี้ขาดให้ รฟท. ชดใช้ค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงแก่ 2 บริษัทเอกชน กว่า 4.2 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย กำหนดเส้นตายภายใน 60 วัน นับแต่คดีถึงที่สุด

วันนี้(10 เม.ย. 68) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ การรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (รฟท.) ผู้คัดค้าน ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 79/2564 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 79/2565 ลงวันที่ 21 พ.ย. 2565

ที่กำหนดให้รฟท.ต้องชำระค่าสินจ้างในโครงการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาที่ 1 ตามสัญญาเลขที่ กส.01/รฟฟ./2556 ลงวันที่ 18 ม.ค 2556 และตามคำสั่งเปลี่ยนแปลงงาน (Variation Orders) พร้อมทั้งดอกเบี้ยผิดนัด และภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ร้องที่ 1 บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ร้องที่ 2 

 

เนื่องจากศาลปกครองกลาง เห็นว่า ก่อนที่ผู้ร้องทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีนี้ รฟท.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว โดยอ้างว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน

ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาตามคดีหมายเลขแดงที่ 824/2567 ลงวันที่ 30 เ.ม.ย. 67 ว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ไม่เกินขอบเขตแห่งสัญญาและการยอมรับ หรือ การบังคับตามคำชี้ขาด ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดได้

ตามมาตรา 40 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545 และพิพากษายกคำร้อง แต่ รฟท. ยังคงเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาด ผู้ร้องทั้งสองจึงยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือ คำสั่งบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ 

ขณะเดียวกันรฟท.ได้ยื่นอุทธรณ์จนถึงศาลปกครองสูงสุด ซึ่งก็มีคำสั่ง เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 67 ยืนตามศาลปกครองชั้นต้นไม่รับคำอุทธรณ์ไว้พิจารณา 

คดีจึงเป็นอันถึงที่สุด และผูกพันคู่กรณีทั้งสองฝ่าย  ดังนั้น เมื่อศาลวินิจฉัยว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงพิพากษาบังคับให้ รฟท. ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้ โดยให้ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 21พ.ย.2565 กำหนดให้ 

1. ให้รฟท.ชำระสินจ้างตามสัญญา และตามคำสั่งเปลี่ยนแปลงงานเป็นจำนวน 4,204,286,694.83 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 23,654,882.90 บาท 

2. ให้รฟท.ชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.305 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดแต่ละงวดจนถึงวันที่ 23 ก.ค. 65 เป็นจำนวน 929,211,622.11 บาท และให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.305 ต่อปี ของเงินจำนวน 4,204,286,694.83 บาท นับจากวันที่ 22 ก.ค. 65 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้กับผู้ร้องทั้งสอง

3. ให้รฟท.ชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.305 ต่อปี ของต้นเงิน 180,651,350.64 บาท ซึ่งเป็นเงินประกันผลงาน (Retention) ที่ผู้คัดค้านคืนให้กับผู้ร้องทั้งสองล่าช้าในแต่ละงวดล่าช้า คำนวณตั้งแต่วันผิดนัดชำระจนถึงวันที่ 23 ก.ค.65 เป็นจำนวน 34,904,693.43 บาท ให้กับผู้ร้องทั้งสอง

4. ให้รฟท.ชำระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างการขยายเวลาเป็นจำนวน 680,057,076 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ของเงินจำนวน 680,057,076 บาท แก่ผู้ร้องทั้งสอง พร้อมชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.305 ต่อปี ของต้นเงิน 680,057,076 บาท นับแต่วันที่ยื่นคำเสนอข้อพิพาทนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่ผู้ร้องทั้งสอง

5. ให้รฟท.ชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ จำนวน 96,044,682.13 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 6,723,297.75 บาท พร้อมชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.305 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 96,044,682.13 บาท นับแต่วันที่ยื่นคำเสนอข้อพิพาทจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง