5 พฤษภาคม 2568 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดการขับเคลื่อนโครงการสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลที่กำลังถูกจับตามองจากสังคม หลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้ส่ง สส. ลงพื้นที่พบปะประชาชนเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง
โดยนายสรวงศ์ ระบุว่า จากผลการลงพื้นที่พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในต่างจังหวัดไม่ได้แสดงความกังวลหรือมีปัญหาในการทำความเข้าใจประเด็นนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่รอบด้านและเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น รัฐบาลมีแผนที่จะจัดเวทีรับฟังความเห็นเพิ่มเติม พร้อมกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ขอเป็นเจ้าภาพในการจัดเวทีนี้เองแต่จะมอบหมายให้ "คนกลาง" หรือภาควิชาการเป็นผู้ดำเนินการแทน โดยรัฐบาลที่จะส่งตัวแทนเข้าร่วมเวทีที่จัดโดยคนกลางเพื่อชี้แจงข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งนี้ นายสรวงศ์ อธิบายเหตุผลที่ต้องการให้คนกลางเป็นเจ้าภาพว่า หากรัฐบาลเป็นผู้จัดเองอาจถูกมองว่า มี "ธง" หรือมีจุดยืนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วซึ่งอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อการพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างแท้จริงซึ่งต้องการให้ผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาลได้มีโอกาสเข้ามาพูดคุยและทำความเข้าใจร่วมกันถึงเหตุผลความจำเป็นในการมีกฎหมายฉบับนี้เพื่อเปิดประตูรับการลงทุนจากต่างชาติ
พร้อมย้ำถึงวัตถุประสงค์หลักว่า ไม่ใช่การเปิด "บ่อนกาสิโน" เพียงอย่างเดียวแต่พื้นที่ส่วนของกาสิโนเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กน้อยประมาณ 10% เพื่อทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่โดยจะประกอบด้วย อีเว้นท์ฮอลล์ ศูนย์ประชุม ห้างสรรพสินค้า และโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่และพื้นที่โดยรอบโครงการจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนนี้
สำหรับมาตรการป้องกันผลกระทบทางสังคมนั้น นายสรวงศ์ ย้ำชัดว่า จะมีมาตรการป้องกันที่ชัดเจน เช่น หากครอบครัวใดไม่ต้องการให้บุคคลในครอบครัวเข้าใช้บริการพื้นที่กาสิโนสามารถยื่นเรื่องขอห้ามได้ รวมถึงจะมีมาตรการป้องกันการฟอกเงินที่เป็นมาตรฐานสากลรองรับด้วย
"เวทีที่เราอยากเห็น คือ การพูดถึงข้อดีข้อเสีย พูดคุยกันด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ว่า ฝั่งหนึ่งมีธง อีกฝั่งมีธง มาชนกัน มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคุย ถ้าคิดดูดี ๆ สำหรับประเทศไทยเสียโอกาสไปกับเรื่องแบบนี้เยอะมาก อย่าปิดกั้นโอกาสของประเทศไทยอีกเลย เพราะว่าเราสู้เขาไม่ได้แล้วประเทศเพื่อนบ้านแม้กระทั่งประเทศที่เป็นศาสนาอิสลามก็มีกันแต่เขาห้ามคนของเขาเข้า เราก็ห้ามคนของเราเข้าได้ ไม่มีปัญหา
รัฐบาลอยากที่จะฟังเหมือนกันว่า ความคิดของพวกท่านคืออะไร ทำไมถึงไม่อยากให้มี ทำไมถึงมีไม่ได้ แล้วได้ฟังหรือยังว่า ข้อกำหนด หรือว่ารายละเอียดของกฎหมายมันคืออะไร" นายสรวงศ์ กล่าวพร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า ผู้ที่ออกมาต่อต้านร่างกฎหมายนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดของตัวร่างกฎหมายฉบับเต็ม และเชื่อว่ามีไม่ถึง 10% ที่ได้อ่านจริงซึ่งอาจรวมถึงนักวิชาการและแกนนำบางส่วน