นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ และประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บรรยายในงานเสวนาโต๊ะกลมของสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(FKII National Dialogue) “โอกาสหรือวิกฤติใหม่เศรษฐกิจไทยภายใต้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน” ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยคุกคามใหญ่และความท้าทาย 3 ประการได้แก่ ภูมิเศรษฐศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ที่เชื่อมโยงและส่งผลกระทบซับซ้อนต่อกัน ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
สำหรับเศรษฐกิจของไทยที่โตต่ำ โตช้าและอ่อนแอเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างจากปัญหาหลัก ๆ เช่นปัญหาหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน การขาดดุลงบประมาณ ความเหลื่อมล้ำ ขีดความสามารถในการแข่งขัน การพึ่งพาการส่งออก การวิจัย เทคโนโลยีการศึกษาและการคอรัปชั่น ปัญหาเหล่านี้คือจุดอ่อนจุดตายโดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะส่งผลกระทบซ้ำเติมประเทศไทยรุนแรงมากขึ้น
ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตจากเดิม 2.9% (คาดการณ์เดิมในเดือน ม.ค. 2568) ลดเหลือ 1.8% ถือว่าต่ำสุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งมูดี้ส์ประกาศปรับลดแนวโน้ม (Outlook) อันดับเครดิตของประเทศไทยจาก Stable (มีเสถียรภาพ) สู่สถานะ Negative (เชิงลบ) ถือเป็นสัญญาณอันตรายล่าสุด
ทั้งนี้ประเทศไทยต้องยกเครื่องปฏิรูปครั้งใหญ่ทันทีอย่างต่อเนื่องจริงจังในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น การปรับสมดุลระหว่างเศรษฐกิจในประเทศกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เร่งกระจายตลาดลดความเสี่ยงจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน พร้อมกับเดินหน้าลดโลกร้อนมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และในทางยุทธศาสตร์ต้องยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลางนโยบายการต่างประเทศทั้งการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สำหรับโอกาสของการค้าระหว่างประเทศของไทย ปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศสหรัฐ-จีน คิดเป็นสัดส่วน 3% ของตลาดการค้าโลกซึ่งมีมูลค่า 24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเมื่อปี 2024 มูลค่าการส่งออกนำเข้าของสหรัฐและจีนอยู่ที่ 582.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยสหรัฐส่งไปจีน 143.5 พันล้านดอลลาร์ และจีนส่งไปสหรัฐ 438.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งองค์การการค้าโลก (WTO) มองว่า ถ้าสงครามการค้ายังสู้กันด้วยการขึ้นภาษีจำทำให้สองชาติมหาอำนาจยุติการค้าขายกัน แต่ตลาดโลกอีก 97% ก็ยังค้าขายต่อไปได้ ถือเป็นโอกาสในวิกฤตของไทยที่มองเห็นได้
ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการเมืองของทั้งสองมหาอำนาจและอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงลำดับต้น ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและนโยบายทรัมป์ 2.0
ด้าน นายชยดิฐ หุตานุวัตร์ ประธานสถาบันทิวา และ ผู้อำนวยการ FKII Thailand กล่าวว่า ท่ามกลางยุคที่โลกผันผวนจากสงครามการค้า วิกฤติพลังงาน ภูมิอากาศ และสังคมสูงวัย ประเทศไทยต้องเร่งหา “ทางออก ทางเลือก และทางรอด” โดยนำ 5 จุดเเข็งของประเทศไทย คือ 3F2H : Forest, Farm, Food, Health และ Hospitality มาเป็นแกนหลัก
โดยเสนอแนวคิด Sustainable Longevity Living โดยยึดหลักการ พึ่งพาตนเอง Self-Sustainable และชู 3 แกนหลัก คือ Localization การใช้ทรัพยากรท้องถิ่น, Deurbanization การกระจายประชากรออกจากเมือง, และ Rural Revitalization การฟื้นฟูชนบท ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม แต่สร้างคุณภาพชีวิตที่แท้จริง
Sustainable Longevity Living เป็นการผสมผสานเกษตรอินทรีย์ อาหารปลอดภัย การเรียนรู้ และชุมชนร่วมดูแลกัน เป็นทางรอดของคนรุ่นใหม่และผู้สูงวัย ในโลกที่ต้องการ “อยู่ดี” อย่างยั่งยืน ซึ่งไทยสามารถเป็นต้นแบบของเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและขับเคลื่อนแนวคิดใหม่ “ชีวิตดี สังคมดี โลกดี” ด้วยพลังจากรากหญ้า นี่ไม่ใช่เพียงการอยู่รอด แต่คือการสร้างอนาคตใหม่อย่างยั่งยืนร่วมกัน”
นายเกษมสันต์ วีระกุล ประธานซีเอ็ดนักวิชาการอิสระ สื่อมวลชน ผู้เชี่ยวชาญด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กล่าวว่า สงครามการค้าครั้งนี้จะจบลงเหมือนสงครามครั้งแรกที่จีนเป็นผู้ชนะ และเวียดนามจะเป็นผู้ได้ประโยชน์มากที่สุดในอาเซียน ถึงแม้จะไม่มีสงครามการค้า เศรษฐกิจไทยก็อ่อนแออย่างมากอยู่แล้ว การเจริญเติบโตต่ำมาต่อเนื่องยาวนาน สาเหตุสำคัญคือการที่ไทยไร้ยุทธศาสตร์ คอร์รัปชันฝังรากลึกและระบบการศึกษาที่ล้มเหลว
ดังนั้นเพื่อที่จะสร้างโอกาสให้ประเทศไทย และสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ ไทยควรทำ 3 เรื่องด้วยกันคือ
1.รื้อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แล้วเขียนใหม่ให้เป็นยุทธศาสตร์แบบที่ประเทศที่เขาพัฒนาได้สำเร็จเขียนกัน เช่นสิงคโปร์
2.เร่งแก้ไขคอร์รัปชันด้วยการปราบ แบบเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นสังคมอุปถัมภ์เช่นเดียวกับไทยแต่ก็ยังปราบคอร์รัปชันได้สำเร็จ
3.เร่งปฏิรูปการศึกษา โดยใช้ AI แบบ Khanmigo ของ Khan Academy ซึ่งจะเปลี่ยนห้องเรียนแบบที่คนไทยคุ้นเคยให้เป็นห้องเรียนที่กลับหัวกลับหางหรือ flipped classroom ทำให้เกิดการเรียน Active Learning
ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน อดีตอัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงปักกิ่งผู้เชี่ยวชาญด้านจีนวิเคราะห์ว่าโอกาสหรือวิกฤติของไทยในสงครามการค้า 2.0 ดังนี้
1.การท่องเที่ยว ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของประเทศไทยและสินค้า/บริการของไทยถดถอยลง จากเป็นบวกสู่มิติเชิงลบ ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลงเดือนละกว่า 1 หมื่นคนนับแต่ต้นปี แต่ไทยยังมีโอกาสอยู่มากในการกลับไปสู่จุดเดิมของนักท่องเที่ยวปีละ 10 ล้านคน โดยไทยต้องรีแบรนด์ประเทศและสินค้า/บริการของไทยในสายตาของคนจีน
นอกจากนี้ต้องยึดหลัก “สร้างข่าวบวก 3 ข่าวทุกครั้งที่มีข่าวเชิงลบ 1 ข่าว” นั่นหมายความว่า ไทยต้องลงทุนกับการสร้างคอนเท้นต์สำหรับตลาดจีน และไทยยังสามารถเรียนลัดจาก Russia Model ในการพัฒนาตลาดสินค้ารัสเซียในจีนผ่านออฟไลน์และออนไลน์
2. การค้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สินค้าและบริการของไทยพัฒนาขีดความสามารถแข่งขันน้อยมาก ขณะที่สินค้าและบริการของจีนพัฒนาคุณภาพและแบรนด์อย่างต่อเนื่องจนทั้ง “ถูกและดี“ ซึ่งหากมองในแง่ของการค้าทวิภาคี ไทยคงอยากลดการค้ากับจีนเพื่อลดการขาดดุลการค้า แต่เนื้อแท้แล้ว หากพิจารณาจากมุมมองของการค้าพหุภาคี การค้ากีบจีนอาจช่วยให้ไทยลดการขาดดุลการค้า เพราะเป็นการลดการนำเข้าโดยรวม สิ่งสำคัญก็คือ ไทยต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันระดับระหว่างประเทศ
3. การลงทุนและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ผลจาก BRI, Made in China 2025 และสงครามการค้าและเทคโนโลยี การลงทุนของจีนในต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยก็เป็นประเทศจุดหมายปลายทางของการลงทุน ไทยจึงควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบการศึกษา และระบบราชการ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายและการปราบปรามคอรัปชัน ทั้งระบบนิเวศอย่างจริงจังเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม