แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลทางชีววิทยาอย่างละเอียด พบว่า ความเป็นไปได้ที่ปลาหมอคางดำจะเติบโตได้ในทะเลนั้น “แทบเป็นไปไม่ได้เลย” ด้วยปลาหมอคางดำเป็นปลาน้ำจืดและน้ำกร่อย ที่พบได้ในแหล่งน้ำนิ่ง หรือไหลเอื่อย เช่นในหนองน้ำ บึง อ่างเก็บน้ำ รวมถึงบ่อร้าง หรือปากแม่น้ำที่มีความเค็มผันแปร แต่ไม่ใช่สัตว์น้ำที่อยู่รอดได้ในทะเลเปิดที่มีคลื่นแรง ความเค็มสูง และกระแสน้ำเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
น้ำทะเล จึงถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ “ไม่เหมาะอย่างยิ่ง” กับพฤติกรรมและสรีรวิทยาของปลาหมอคางดำ โดยเฉพาะในช่วงการวางไข่และช่วงฟักตัวของลูกปลา ที่ต้องอาศัยสภาพน้ำนิ่ง มีที่หลบซ่อน และทนความเค็มได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น
ถึงแม้ปลาชนิดนี้จะมีจุดเด่นที่ “ความทนทาน” ต่อความเค็ม และเคยมีรายงานว่าพบในน้ำเค็มเจือจางหรือบริเวณชายฝั่ง แต่การที่ปลาจะอยู่รอดจนโตเต็มวัยในทะเลจริง ๆ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ และยิ่งไม่เคยมีรายงานว่ามีการแพร่พันธุ์ในทะเลเปิด
สิ่งสำคัญอีกประการคือ พฤติกรรมของปลาหมอคางดำที่ชอบอยู่รวมกันใน "แหล่งน้ำนิ่ง" ที่มีตะกอนหรือพืชน้ำสำหรับซ่อนตัว และไม่ชอบว่ายน้ำต้านกระแส หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปรปรวน ต่างจากปลาทะเลที่วิวัฒน์มาให้เหมาะกับการดำรงชีวิตในพื้นที่เปิด
นอกจากไทยแล้ว ปลาหมอคางดำยังถูกนำเข้าไปยังหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในฐานะปลาสวยงามและปลาสำหรับเลี้ยงเชิงพาณิชย์ ยกตัวอย่าง ในสหรัฐอเมริกาและฟิลิปปินส์ ที่ล้วนเริ่มต้นจากการเพาะเลี้ยงในระบบปิด หรือจำกัดพื้นที่ แต่กลับพบว่าปลาชนิดนี้หลุดรอดและแพร่กระจายสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่เขตร้อนที่มีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ แตกต่างกันไปตามระบบนิเวศของแต่ละประเทศ
ในกรณีของทั้ง 2 ประเทศดังกล่าว ที่มิได้มีเป้าหมายเพื่อปล่อยลงสู่ธรรมชาติโดยตรง แต่ยังพบการแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ สะท้อนว่า ปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ แต่ความประมาทหรือขาดการควบคุมที่เข้มงวด กลายเป็นช่องว่างสำคัญที่นำไปสู่ผลกระทบในระดับประเทศได้
การหาวิธีการกำจัดปลานี้ออกจากแหล่งน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในการควบคุมประชากรปลาหมอคาง เพราะสามารถนำปลาไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งในด้านการทำเป็นอาหารมนุษย์ โดยนำไปเป็นเมนูอาหาร แปรรูปเป็นน้ำปลา ปลาร้า ฯลฯ รวมถึงทำเป็นอาหารสัตว์ ถือเป็นการกระตุ้นให้เกิดความต้องการปลามากขึ้น
ดังนั้น การเข้าใจธรรมชาติของปลาชนิดนี้ให้ชัดเจน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดมาตรการจัดการ เช่นการควบคุมในแหล่งน้ำนิ่งและน้ำกร่อย มากกว่าความกังวลว่าปลานี้อาจแพร่พันธุ์ในทะเล ซึ่งนอกจากทำให้โฟกัสผิดจุดแล้ว ยังเสียเวลาและทรัพยากรไปกับความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่ไม่มีหลักฐานรองรับอีกด้วย
บทความโดย : วิภาวี บุตรสาร นักวิชาการด้านสัตว์น้ำ