‘ดร.กีรติ’ เผยแผนขับเคลื่อน ‘สุวรรณภูมิ’ แลนดิ้งศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค

28 ก.พ. 2568 | 09:25 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.พ. 2568 | 09:42 น.

“ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์” เผยแผนพัฒนา “สุวรรณภูมิ” สู่ศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค พร้อมขยายท่าอากาศยานและใช้เทคโนโลยีใหม่เพิ่มประสิทธิภาพ รองรับผู้โดยสาร 7,200 คน/ชม. สู่อนาคต “Net Zero Carbon” ภายในปี 2570

พลันที่อุตสาหกรรมการบินของไทยกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังคลี่คลายวิกฤตโรคระบาด ด้วยจำนวนผู้โดยสารในปี 2566 ที่เดินทางทางอากาศถึง 122 ล้านคน มีจำนวนกว่า 792,000 เที่ยวบิน

กอปรกับนโยบายรัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำการพัฒนาภาคการขนส่งทางอากาศของไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อน นำมาสู่การมอบหมายให้หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม ขับเคลื่อนจุดหมายปลายทางศูนย์กลางการบินให้สัมฤทธิ์ผล

 

‘ดร.กีรติ’ เผยแผนขับเคลื่อน ‘สุวรรณภูมิ’ แลนดิ้งศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค

 

มีหน่วยงานหลัก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “AOT” โดย ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ขานรับนโยบายดังกล่าว สวมบทบาทกัปตันเพื่อพิชิตภารกิจนำสุวรรณภูมิลงจอดศูนย์กลางการบินตามหมุดหมาย

บิ๊ก AOT เล่าความพร้อมในฐานะหน่วยงานผู้กำกับท่าอากาศยานประเทศไทย ทั้งการจัดการ การดำเนินงาน และการพัฒนาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่

สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ ดร.กีรติ เผยว่า ยังคงมุ่งเน้นการรองรับการเดินทางของผู้โดยสารให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ จากปีที่ผ่านมาที่มีการติดตั้งระบบการเช็กอินและโหลดกระเป๋าด้วยตัวเอง (Self Check-in, Self Bag Drop) ระบบ Biometric สแกนใบหน้า ระบบตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติ (Automated Border Control) รวมถึงช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Auto Gate) ฯลฯ เหล่านี้ทำให้ขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้นจาก 5,500 คนเป็น 7,200 คนต่อชั่วโมง

ขณะเดียวกันก็มีแผนดำเนินการขยายท่าอากาศยาน เริ่มจากเดือนเมษายนจะประมูลสร้างอาคารส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลัก ด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เดือนพฤศจิกายนจะดำเนินการประมูลการก่อสร้างท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 3 รวมถึงอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังใหม่ และการปรับปรุงระบบการให้บริการภายในท่าอากาศยานดอนเมืองทั้งหมดภายใต้มูลค่าการลงทุนประมาณ 36,000 ล้านบาท

สำหรับเป้าหมายการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินฯ ดร.กีรติ ย้ำว่า จะต้องเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานเพื่อรองรับการเดินทางแบบ Hub and Spoke ผู้โดยสารเปลี่ยนถ่ายเครื่องบินโดยใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทั้ง Transit และ Transfer เช่น จากยุโรปมาสุวรรณภูมิแล้วต่อเครื่องไปออสเตรเลีย หรือจีน เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยก็มีศักยภาพความพร้อม บวกกับปัจจุบันที่จีนกับยุโรปมีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การที่จีนจะเพิ่มสลอตการบินให้ยุโรป หรือยุโรปเพิ่มสลอตการบินแก่จีนนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งกับจีนและยุโรป ส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางสำหรับไฟลท์ยุโรปบินมาพักเครื่องที่ไทยแล้วบินไปจีน นับเป็นโอกาสของไทยในการเพิ่มขีดความสามารถเป็น Hub รองรับการเดินทางระหว่างจีน ยุโรป ออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังมีการสร้างรันเวย์ที่ 3 และอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1) ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ เปิดใช้อย่างเต็มรูปแบบ

 

‘ดร.กีรติ’ เผยแผนขับเคลื่อน ‘สุวรรณภูมิ’ แลนดิ้งศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค

 

“อาคาร Satellite 1 ยังถือเป็นความภาคภูมิใจของ AOT และคนไทยทุกคน จากการได้รับรางวัล Prix Versailles 2024 ซึ่งยูเนสโกมอบให้ในฐานะสนามบินสวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 อาคารนี้เป็นศูนย์กลางหลักในการเปลี่ยนถ่ายลำของผู้โดยสารเช่นเดียวกับท่าอากาศยานอื่นๆ ทั่วโลก ผู้โดยสารที่ลงสุวรรณภูมิสามารถเข้าสู่กระบวนการตรวจค้นเพื่อเดินทางในเที่ยวบินถัดไปได้ทันที”

“AOT มั่นใจว่า ทั้งการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ แผนการขยายท่าอากาศยานเริ่มจาก East Expansion รันเวย์ที่ 3 และอาคาร Satellite 1 ที่เปิดใช้แล้ว ทำให้มี Facilities สมบูรณ์พร้อมในการผลักดันให้สุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการบินของทุกภูมิภาคได้”

เทรนด์ขององค์กรธุรกิจยุคใหม่ต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เช่นเดียวกับ AOT ซึ่งประกาศการเป็นสนามบินที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2570 โดยที่ได้ดำเนินการไปแล้วคือ ร่วมกับบริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด (DCAP) ทำโครงการระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปลี่ยนการใช้ไฟฟ้าที่ซื้อจาก Grid เป็นไฟฟ้าที่ผลิตโซลาเซลล์ 20 เมกกะวัตต์ และกำลังจะเพิ่มอีก 30 เมกะวัตต์

จากนั้นในปี 2569 จะสร้างเพิ่มอีก 30 เมกะวัตต์เพื่อให้เพียงพอกับการใช้งานระหว่างวัน รวมไปถึงทำระบบแบตเตอรี่กักเก็บสำหรับใช้ไฟฟ้าในเวลากลางคืน

รวมถึงมีนโยบายเปลี่ยนรถในสนามบินเป็นระบบยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป ทั้งผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น (Ground Handling) รถเมล์ที่ใช้รับผู้โดยสารในสนามบิน รถลีมูซีน รถแท็กซี่ ตลอดจนการติดตั้งสถานี EV Charge สำหรับรถโดยสารสาธารณะไฟฟ้า

และการให้ความสำคัญด้านการให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน SAF (Sustainable Aviation Fuel) ซึ่งเป็นน้ำมันสำหรับการบินที่ผลิตจากพืช โดยมีแหล่งการผลิตจากน้ำมันพืชใช้แล้วกับพลังงานชีวมวลต่างๆ

เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นต้นแบบ Green Airport ท่าอากาศยานสากลชั้นนำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม