ลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง ผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39 เริ่มงวดไหน ดูที่นี่

21 ก.ย. 2565 | 04:25 น.

ครม. เห็นชอบลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ตั้งแต่งวดเดือน ต.ค.-ธ.ค. 65 เหลือจำนวนเท่าไร ดูรายละเอียดที่นี่

คณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 65  มีมติเห็นชอบมาตรการในการช่วยเหลือ ลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ทั้งฝ่ายนายจ้างและผู้ประกันตน ม.33 และลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตน ม.39 เป็นระยะเวลา  3 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่งวดเดือนต.ค. - ธ.ค. 65 มีรายละเอียด ดังนี้

 

ม.33  นายจ้างและผู้ประกันตน จากเดิมร้อยละ 5 เหลือฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้าง

 

ม.39 ปรับลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตน จากอัตราเดือนละ 432 บาท เหลือในอัตราเดือนละ 240 บาท 



นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า หลังจากที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นค่าแรงเฉลี่ย 5.02% และจะประกาศให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปนั้น

กระทรวงแรงงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของการช่วยเหลือนายจ้างผู้ประกอบการ และพี่น้องผู้ประกันตน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งได้รับความเดือดร้อน จากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอันเนื่องมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของค่าครองชีพหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  กระทรวงแรงงาน จึงได้มีการเสนอมาตรการลดเงินสมทบทั้งฝ่ายนายจ้างและผู้ประกันตน โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวย้ำว่า มาตรการลดเงินสมทบเพื่อช่วยเหลือพี่น้องผู้ประกันตนในสถานการณ์ดังกล่าว จะส่งผลให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินสมทบที่ลดลง 576 - 900 บาทต่อคน รวมเป็นเงินที่ลดลงประมาณ 9,080 ล้านบาท ไปใช้ในการเพิ่มสภาพคล่องมากขึ้น รวมถึงการแก้ปัญหาทางการเงินของผู้ประกันตนทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

นอกจากนั้นแล้วยังเป็นการช่วยแบ่งเบาลดภาระต้นทุน ที่สูงขึ้นและเพิ่มสภาพคล่องให้กับนายจ้าง เป็นจำนวนเงินกว่า 7,964 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้สถานประกอบการสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องในระบบเศรษฐกิจ

 

ทั้งนี้ เงินสมทบที่ลดลงมากกว่า 17,044 ล้านบาท จะกลายเป็นเม็ดเงินที่นำมาใช้จ่ายช่วยหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

 

สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมจะได้เร่งดำเนินการเพื่อให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ทันภายในกำหนด