KEY
POINTS
ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และหนึ่งในคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปรับโครงสร้างราคาพลังงานไฟฟ้า กล่าวถึงแนวทางที่รัฐบาลเตรียมลดค่าไฟฟ้าอย่างน้อย 4 สตางค์ต่อหน่วยในงวดเดือนมกราคมปี 2569 ว่าเป็นไปได้จริง แต่ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินและนโยบาย
เธออธิบายว่า ปัจจัยหลักที่จะนำมาใช้ลดค่าไฟคือ 'Clawback' ซึ่งเป็นกลไกของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกินจาก 3 การไฟฟ้าฯ ได้แก่ กฟผ., กฟน. และ กฟภ. โดยปัจจุบันยังมีเงินก้อนนี้เหลืออยู่ราว 8 สตางค์ต่อหน่วยที่สามารถนำมาใช้ลดค่าไฟได้ชั่วคราว ส่วนอีกทางเลือกคือการให้ กฟผ. และ ปตท. รับภาระหนี้สะสมต่อไป เพื่อไม่ให้สะท้อนเข้ามาในค่าไฟทันที ซึ่งทั้ง 2 แนวทางสามารถช่วยให้ลดได้ 4–10 สตางค์ในระยะสั้น
"เงินค่า Clawback เป็นเงินที่ประชาชนจ่ายล่วงหน้า ควรใช้เฉพาะในยามวิกฤตจริง ๆ การนำมาใช้ต่อเนื่องโดยไม่มีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง จะเป็นเพียงการประคองสถานการณ์ ไม่ต่างจากการผลักภาระไปยังอนาคต สิ่งจำเป็นที่สุดคือการปรับโครงสร้างต้นทุนค่าไฟฟ้าเพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และไม่เป็นภาระของงบประมาณหรือภาษีประชาชนในระยะยาว"
สำหรับก้าวแรกของการปฏิรูปโครงสร้าง ดร.อารีพร เสนอ 2 ด้านที่ควรเดินหน้าควบคู่กัน ได้แก่
ดร.อารีพร ยังสะท้อนว่า หากรัฐบาลยังคงใช้วิธีอุดหนุนผ่านงบประมาณ หรือเลื่อนหนี้ กฟผ.-ปตท. จะทำให้ประชาชนต้องจ่ายในอนาคตอยู่ดี ต่างจากการปฏิรูปโครงสร้างที่แม้ใช้เวลา แต่จะสร้างความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้
ในมุมเปรียบเทียบ ดร.อารีพร ยกกรณีเวียดนามที่เลือกให้ค่าไฟสะท้อนต้นทุนจริง แม้จะทำให้ผู้ประกอบการมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในช่วงแรก แต่กลับเป็นแรงจูงใจให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น และลดการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ที่มีต้นทุนสูงในอนาคต จนสร้างระบบพลังงานที่มั่นคงและเป็นธรรม ขณะที่ไทยยังคงมีโครงสร้างที่สนับสนุนให้ผู้ใช้ไฟขนาดใหญ่ได้อัตราที่ถูกเมื่อใช้ไฟมาก ทั้งที่ควรเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
“ถ้าไม่เริ่มก้าวแรกในการปฏิรูปโครงสร้าง วันนี้เราอาจลดค่าไฟได้ 4–10 สตางค์ แต่ระยะยาว ประชาชนจะต้องจ่ายแพงขึ้นกว่านี้ การกล้าปรับโครงสร้างเท่านั้นจึงจะช่วยสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในอนาคต”