นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าไฟฟ้าในอนาคตก็มีโอกาสต่ำกว่างวดปัจจุบัน (พ.ค.-ส.ค.68) ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ จากทิศทางราคาเชื้อเพลิงที่ไม่สูง สวนทางกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่หนี้ของ กฟผ.ซึ่งรับภาระเชื้อเพลิงให้ประชาชนทยอยลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 71,000 ล้านบาท
โดย กฟผ.ดำเนินการผลิตไฟฟ้าทั้งดูแลค่าไฟฟ้าควบคู่การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนำเงินส่งรัฐ 50% ของผลกำไร จนล่าสุดปีนี้เป็นรัฐวิสาหกิจที่นำเงินส่งรัฐเป็นอันดับที่ 1 ทั้งที่มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในตลาดเพียง29%เท่านั้น
อีกทั้งภาครัฐยังควบคุมผลตอบแทนรายได้ของ 3 การไฟฟ้า กำหนดอัตราส่วนผลตอบแทนการลงทุนเพื่อการดำเนินงาน (ROIC) ไม่เกิน 5%
หากเกินอัตรานี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะใช้เงินเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกิน (claw back) จาก 3 การไฟฟ้า มาเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้า
ซึ่งเห็นได้ชัดในค่าไฟฟ้างวดปัจจุบัน โดยถูกเรียกประมาณ 12,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 17 สตางค์ของหน่วย
"กฟผ.เป็นเครื่องมือของรัฐในการดูแลประชาชนทั้งค่าไฟและการนำเงินส่งรัฐโดยปี 65 หาก กฟผ.ไม่ร่วมรับต้นทุนค่าไฟ 1.5 แสนล้านบาทค่าไฟจะกระโดดไปถึง 7-8 บาทต่อหน่วย ซึ่งในภาพรวมหาก กฟผ. มีสัดส่วนผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นก็จะสร้างประโยชน์แก่รัฐเพิ่มมากขึ้นในการเป็นเครื่องมือดูแลประชาชนเพิ่มขึ้น"