ปตท. ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA 68 สูงกว่า 2 หมื่นล้าน-มุ่งเน้นแปลงทรัพย์เป็นทุน

21 พ.ค. 2568 | 11:17 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ค. 2568 | 04:12 น.

ปตท. ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA สูงกว่า 2 หมื่นล้านบาท​ -​ วางแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอย​ มุ่งเน้นแปลงทรัพย์เป็นทุน​ หลังไตรมาสแรกกำไรกว่า​ 2.3 หมื่นล้านบาท

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2568 มีสัญญาณสถานการณ์พลังงานที่มีความผันผวน และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ปริมาณการผลิตน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลก 

และความต้องการใช้พลังงานที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้เกิดความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว การค้าไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนของลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) กระทบความสามารถการแข่งขันอุตไทย และกระทบต่อนโยบายรัฐ

ทั้งนี้ ปตท. จึงได้ดำเนินการเชิงรุกด้วยการจัดตั้งวอร์รูม เตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอยครอบคลุมการดำเนินงานใน 5 ด้าน ประกอบด้วย 

  • 1. Strategy ทบทวนกลยุทธ์เดิมพร้อมพิจารณาความท้าทายใหม่ที่จะเข้ามากระทบ พบว่ากลยุทธ์กลุ่ม ปตท. มาถูกทาง เหมาะสม สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกและความท้าทายจากเรื่องสงครามการค้าได้ เพียงแต่บางเรื่องต้องเร่งให้เร็วขึ้น เช่น การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. 

ปตท. ตั้งเป้ากำไรปี 68 กว่า 2 หมื่นล้าน-วางแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอย

  • 2. Financial Management รักษาวินัยการเงิน บริหารต้นทุนการเงิน เสริมสภาพคล่องกระแสเงินสด รักษาระดับ Credit Rating 
  • 3. Supply Chain & Customer ดูแลคู่ค้า ลูกค้า เพื่อสร้างความต่อเนื่องตลอด Supply Chain พร้อมเร่งดำเนินโครงการสร้างมูลค่าเพิ่ม 
  • Project Management ทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการและการลงทุน โดยต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมถึงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Asset Monetization) ของ flagship  
  • Communication สื่อสารและสร้างความเข้าใจการดำเนินธุรกิจแก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง 

"ไตรมากแรกปีนี้ ปตท.มีกำไรสุทธิ 23,315 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษจะใกล้เคียงกับปี 2567 โดยในปี 2568 ปตท.ยังคงเป้าหมายกำไรก่อนหักค่าเสื่อม หรืออิบิทด้าเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท อิบิทด้า ซึ่งปรับ Asset Portfolio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงในระยะยาว โดยแสวงหาโอกาสเพื่อเพิ่มผลกำไร กว่า 8,000 ล้านบาท และให้ความสำคัญกับการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ซึ่งประเมินกระแสเงินสดจากการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน กว่า 15,000 ล้านบาท"

สำหรับความคืบการหาพันธมิตรในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น เจรจาเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปปีนี้ ยืนยันว่าธุรกิจได้ประโยชน์ 

ส่วนธุรกิจอย่างบริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด ที่จะหาพันธมิตรร่วมทุนก็อยู่ระหว่างการเจรจาเช่นกัน ด้านธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่ Net Zero 2050 ปัจจุบันได้หารือกับ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทน หรือบีโอไอ เกี่ยวกับธุรกิจดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) โดยได้ศึกษาธุรกิจบริษัท ปิโตรนาส ประเทศมาเลเซียควบคู่ไปด้วย 

ด้านธุรกิจไฮโดรเจนเบื้องต้นจะเน้นนำเข้าก่อน จากนั้นจะเดินหน้าผลิตในอนาคต เพื่อรองรับแผนกำลังการผลิตไฟฟ้าของไทย(พีดีพี2024)ที่กำหนดสัดส่วนไฮโดรเจน5% ในก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ปตท.ยังอยู่ระหว่างทบทวนปีเป้าหมายเน็ตซีโร่ที่กำหนดไว้ในในปี 2050 ด้วย