นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2568 มีสัญญาณสถานการณ์พลังงานที่มีความผันผวน และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ปริมาณการผลิตน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลก
และความต้องการใช้พลังงานที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้เกิดความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว การค้าไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนของลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) กระทบความสามารถการแข่งขันอุตไทย และกระทบต่อนโยบายรัฐ
ทั้งนี้ ปตท. จึงได้ดำเนินการเชิงรุกด้วยการจัดตั้งวอร์รูม เตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอยครอบคลุมการดำเนินงานใน 5 ด้าน ประกอบด้วย
"ไตรมากแรกปีนี้ ปตท.มีกำไรสุทธิ 23,315 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษจะใกล้เคียงกับปี 2567 โดยในปี 2568 ปตท.ยังคงเป้าหมายกำไรก่อนหักค่าเสื่อม หรืออิบิทด้าเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท อิบิทด้า ซึ่งปรับ Asset Portfolio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงในระยะยาว โดยแสวงหาโอกาสเพื่อเพิ่มผลกำไร กว่า 8,000 ล้านบาท และให้ความสำคัญกับการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ซึ่งประเมินกระแสเงินสดจากการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน กว่า 15,000 ล้านบาท"
สำหรับความคืบการหาพันธมิตรในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น เจรจาเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปปีนี้ ยืนยันว่าธุรกิจได้ประโยชน์
ส่วนธุรกิจอย่างบริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด ที่จะหาพันธมิตรร่วมทุนก็อยู่ระหว่างการเจรจาเช่นกัน ด้านธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่ Net Zero 2050 ปัจจุบันได้หารือกับ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทน หรือบีโอไอ เกี่ยวกับธุรกิจดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) โดยได้ศึกษาธุรกิจบริษัท ปิโตรนาส ประเทศมาเลเซียควบคู่ไปด้วย
ด้านธุรกิจไฮโดรเจนเบื้องต้นจะเน้นนำเข้าก่อน จากนั้นจะเดินหน้าผลิตในอนาคต เพื่อรองรับแผนกำลังการผลิตไฟฟ้าของไทย(พีดีพี2024)ที่กำหนดสัดส่วนไฮโดรเจน5% ในก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ปตท.ยังอยู่ระหว่างทบทวนปีเป้าหมายเน็ตซีโร่ที่กำหนดไว้ในในปี 2050 ด้วย