นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงประเด็นการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของรัฐบาล โดยระบุว่า ถูกกฎหมาย แต่ ไม่เหมาะสมก็ไม่ควรเดินหน้า
ทั้งนี้ ปัญหาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้ง 2 เฟส 5,200 และ 3,600 เมกะวัตต์ ตามที่เป็นข่าวอยู่จนถึงวันนี้คือปัญหา ในการบริหารจัดการที่สุ่มเสี่ยงต่อเรื่องความโปร่งใส ที่มีการเร่งรีบ ดำเนินการในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2566 ทั้งที่ในวันนั้น ประเทศไทยก็มีโรงไฟฟ้าที่ Over Supply มากอยู่แล้ว
ซึ่งหากรัฐบาลในปัจจุบันจะมีการเดินหน้าต่อ โดยปราศจากการทบทวนหาทางออก ที่เหมาะสมกว่ามุมมองแค่ถูกกฏหมายหรือไม่ จะยิ่งซ้ำเติมค่าไฟฟ้าของประเทศแบบไม่รู้จบ
โดยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนโยบายหรือฝ่ายกำกับดูแลในช่วงดังกล่าวก็ดี
น่าจะมีผู้รับผิดชอบไหม เพราะปัญหา Route cause คือไม่ควรจะใช้วิธี รับซื้อไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสม และไม่เป็นธรรมต่อประเทศ
กล่าวคือจากการที่ กกพ. กำหนดให้ใช้ราคาเป้าหมายที่จะรับซื้อและตัดสินด้วยการให้คะแนนเชิงเทคนิคจากคณะกรรมการคัดเลือก แทนที่จะเป็นการประกวดราคาและเอาราคาผู้เสนอราคาภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ที่มีราคาต่ำสุดเป็นผู้ชนะการประกวดราคา
ซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศ และเป็นวิธีการที่มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ไม่อิงกับตัวบุคคล ในการให้คะแนน
จุดนี้คือจุดเริ่มต้นแห่งความผิดพลาด ในการบริหารจนนำไปสู่ปัญหาในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเมื่อฝ่ายนโยบายในยุคปัจจุบันเห็นปัญหาดังกล่าวแล้ว
ก็สมควรที่จะหยุดการดำเนินการใดๆ ไม่ควรจะเดินหน้าแล้วบอกว่าหากผิดกฎหมาย ค่อยมาแก้ไข ไม่ผูกพัน 20-25 ปีไหม
“ปัญหาคือ ถึงจะถูกกฎหมายแต่ไม่เหมาะสมด้วยนโยบาย หรือวิธีการที่สุ่มเสี่ยงต่อความโปร่งใส และยังเป็นภาระต้นทุนของประเทศก็ไม่ควรเดินหน้าใช่ไหม”
การทบทวนวิธีการ และพูดคุยหาทางร่วมกันกับผู้ที่ผ่านเกณฑ์การประมูลแล้ว น่าจะเป็นทางออกที่ควรทำหรือไม่
นายอิศเรศ กล่าวอีกว่า เป็นข้อเสนอหาทางออกเพื่อประโยชน์สูงสุด ของประเทศ และ ยึดหลัก ความโปร่งใสเป็นที่ตั้งการตัดสินใจที่แข่งขันกับเวลา ท่ามกลางปัญหาสารพัด ของประเทศ และประชาชนจนแทบจะแบกปัญหา และ ปล่อยให้มีการสร้างภาระใดๆต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
“กล้าทำกล้าคิดเพื่อเดินหน้าประเทศไทยให้แข็งแรง และมั่นคง เพื่อลูกหลาน“