ส.อ.ท.สับรัฐซื้อไฟพลังงานหมุนเวียน 8,800 เมกฯ ยิ่งดันค่าไฟแพง

21 เม.ย. 2568 | 04:26 น.
อัปเดตล่าสุด :21 เม.ย. 2568 | 04:26 น.

รองประธาน ส.อ.ท. ออกโรงแนะรัฐบาลยกเลิกรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 8,800 เมกฯ ระบุหากมองแค่ถูกกฏหมายจะยิ่งซ้ำเติมค่าไฟของประเทศไม่รู้จบ

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงประเด็นการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของรัฐบาล โดยระบุว่า ถูกกฎหมาย แต่ ไม่เหมาะสมก็ไม่ควรเดินหน้า

ทั้งนี้ ปัญหาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้ง 2 เฟส  5,200 และ 3,600 เมกะวัตต์ ตามที่เป็นข่าวอยู่จนถึงวันนี้คือปัญหา ในการบริหารจัดการที่สุ่มเสี่ยงต่อเรื่องความโปร่งใส ที่มีการเร่งรีบ ดำเนินการในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2566  ทั้งที่ในวันนั้น ประเทศไทยก็มีโรงไฟฟ้าที่ Over Supply มากอยู่แล้ว

ซึ่งหากรัฐบาลในปัจจุบันจะมีการเดินหน้าต่อ โดยปราศจากการทบทวนหาทางออก ที่เหมาะสมกว่ามุมมองแค่ถูกกฏหมายหรือไม่ จะยิ่งซ้ำเติมค่าไฟฟ้าของประเทศแบบไม่รู้จบ

โดยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนโยบายหรือฝ่ายกำกับดูแลในช่วงดังกล่าวก็ดี

น่าจะมีผู้รับผิดชอบไหม เพราะปัญหา Route  cause คือไม่ควรจะใช้วิธี รับซื้อไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสม และไม่เป็นธรรมต่อประเทศ 

กล่าวคือจากการที่ กกพ. กำหนดให้ใช้ราคาเป้าหมายที่จะรับซื้อและตัดสินด้วยการให้คะแนนเชิงเทคนิคจากคณะกรรมการคัดเลือก แทนที่จะเป็นการประกวดราคาและเอาราคาผู้เสนอราคาภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ที่มีราคาต่ำสุดเป็นผู้ชนะการประกวดราคา

ซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศ และเป็นวิธีการที่มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ไม่อิงกับตัวบุคคล ในการให้คะแนน

จุดนี้คือจุดเริ่มต้นแห่งความผิดพลาด ในการบริหารจนนำไปสู่ปัญหาในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเมื่อฝ่ายนโยบายในยุคปัจจุบันเห็นปัญหาดังกล่าวแล้ว

ก็สมควรที่จะหยุดการดำเนินการใดๆ ไม่ควรจะเดินหน้าแล้วบอกว่าหากผิดกฎหมาย ค่อยมาแก้ไข ไม่ผูกพัน 20-25 ปีไหม

“ปัญหาคือ ถึงจะถูกกฎหมายแต่ไม่เหมาะสมด้วยนโยบาย หรือวิธีการที่สุ่มเสี่ยงต่อความโปร่งใส  และยังเป็นภาระต้นทุนของประเทศก็ไม่ควรเดินหน้าใช่ไหม”

การทบทวนวิธีการ และพูดคุยหาทางร่วมกันกับผู้ที่ผ่านเกณฑ์การประมูลแล้ว น่าจะเป็นทางออกที่ควรทำหรือไม่

นายอิศเรศ กล่าวอีกว่า เป็นข้อเสนอหาทางออกเพื่อประโยชน์สูงสุด ของประเทศ และ ยึดหลัก ความโปร่งใสเป็นที่ตั้งการตัดสินใจที่แข่งขันกับเวลา ท่ามกลางปัญหาสารพัด ของประเทศ และประชาชนจนแทบจะแบกปัญหา และ ปล่อยให้มีการสร้างภาระใดๆต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

“กล้าทำกล้าคิดเพื่อเดินหน้าประเทศไทยให้แข็งแรง และมั่นคง เพื่อลูกหลาน“