พาณิชย์ฟังธง ‘10 ธุรกิจดาวรุ่ง’ ปี 69 สร้างโอกาสลงทุนในอนาคต

30 ธ.ค. 2568 | 06:31 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ธ.ค. 2568 | 06:31 น.

กระทรวงพาณิชย์ฟังธง ‘10 ธุรกิจดาวรุ่ง’ ปี 69 ที่มีศักยภาพการเติบโต สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนในอนาคต

KEY

POINTS

  • กระทรวงพาณิชย์เปิดเผย 10 ธุรกิจดาวรุ่งที่มีศักยภาพเติบโตสูงในปี 2569 เพื่อเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน
  • ธุรกิจดาวรุ่งถูกจัดเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจดิจิทัล, กลุ่มไลฟ์สไตล์ และกลุ่มด้านสุขภาพ
  • การคัดเลือกธุรกิจเหล่านี้สอดคล้องกับแนวโน้มสำคัญ เช่น พฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล สังคมผู้สูงอายุ และการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในปี 2569 ยังมีแรงขับเคลื่อนจากกลุ่มธุรกิจที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล รองรับสังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จึงสำรวจแนวโน้มกลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง รวม 10 ประเภทธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโต และเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการและนักลงทุนในอนาคต 

ทั้งนี้ ประกอบด้วยกลุ่มแรกคือ กลุ่มธุรกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดรับกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตมากขึ้น ประกอบไปด้วย 4 ประเภทธุรกิจหลัก ดังนี้

1.ธุรกิจค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต หรือ e-Commerce ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล และเป็นช่องทางใหม่ ที่ช่วยสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเดือนมกราคม – พฤษจิกายน มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 1,702 ราย ลดลง 269 ราย คิดเป็น 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง 1,971 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ มีมูลค่า 7,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,524 ล้านบาท คิดเป็น 169% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จากตัวเลขจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ที่อาจชะลอตัวลง แต่พบว่าเงินลงทุนกลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สะท้อนการเข้ามาของผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูง และการขยายตัวของ Social Commerce และ Live Streaming อย่างต่อเนื่อง

2.ธุรกิจบริการดิจิทัล แบ่งเป็น 4 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ การสร้างแม่ข่าย (Hosting) การบริการเป็นตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Marketplace) เว็บท่า (Web Portal) และการบริหารจัดการและประมวลผลข้อมูล โดยธุรกิจในกลุ่มนี้มีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างมาก สะท้อนบทบาทโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลที่เฟื่องฟู โดยเดือนมกราคม – พฤษจิกายน มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 318 ราย เพิ่มขึ้น 117 ราย คิดเป็น 58.21% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง 201 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนมีมูลค่า 3,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,096 ล้านบาท คิดเป็น 38.88% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567

พาณิชย์ฟังธง ‘10 ธุรกิจดาวรุ่ง’ ปี 69 สร้างโอกาสลงทุนในอนาคต

3.อุตสาหกรรมการผลิตส่วนประกอบและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แบ่งเป็น 2 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตตัวเก็บประจุและตัวต้านทานสำหรับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยธุรกิจนี้เป็นผู้ผลิตสำคัญรองรับการผลิตสินค้าเทคโนโลยีประเภทยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ระบบสื่อสาร 5G/6G และอุปกรณ์ IoT ขนาดเล็กที่มีอัตราเติบโตสูง โดยเดือนมกราคม – พฤษจิกายน มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 178 ราย ลดลง 19 ราย คิดเป็น 9.64% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง 197 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 7,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,417 ล้านบาท คิดเป็น 145.18% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567

4.ธุรกิจการเงินและการลงทุน แบ่งเป็น 2 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ และธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ธนาคารจำเป็นต้องปรับตัว เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยได้พัฒนาบริการสู่ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา หรือ Virtual Bank โดยเดือนมกราคม – พฤษจิกายน มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 2 ราย ทุนจดทะเบียนสูงถึง 550 ล้านบาท และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,186,622 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 7.21% จากปี 2566

กลุ่มต่อมาคือ กลุ่มไลฟ์สไตล์ เป็นธุรกิจตอบโจทย์วิถีชีวิต ความชอบ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภค  ที่เน้นประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก และตัวตนของลูกค้าประกอบไปด้วย 5 ประเภทธุรกิจหลัก ดังนี้

1.ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกเครื่องสำอาง เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจโดยได้รับแรงหนุนจากกระแสการดูแลสุขภาพและความงาม รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นความสะดวกสบายมากขึ้นผ่านการเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์ และ Social Commerce ที่กำลังขยายตัว โดยเดือนมกราคม – พฤษจิกายน มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 1,457 ราย เพิ่มขึ้น 246 ราย คิดเป็น 20.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง 1,211 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 2,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 364 ล้านบาท คิดเป็น 19.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 195,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24,768 ล้านบาท คิดเป็น 14.5% เมื่อเทียบกับปี 2566

2.ธุรกิจออกแบบตกแต่งภายใน ผลิตภัณฑ์ไม้ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ แบ่งเป็น 3 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ กิจกรรมออกแบบและตกแต่งภายใน การผลิตแผ่นไม้บางและผลิตภัณฑ์ไม้ และการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ ธุรกิจนี้อยู่ในช่วงปรับตัวให้การผลิตสินค้าเน้นที่การออกแบบมากขึ้นสอดรับความต้องการของลูกค้า อย่างไรก็ดี ธุรกิจฯ ยังมีความท้าทายจากความผันผวนในการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดส่งออกเฟอร์นิเจอร์อันดับ 1 ของไทย ในทางกลับกันภาพรวมการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของไทยในปี 2568 ยังขยายตัวได้ที่ 9.3% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้า ของคู่ค้าเพื่อสต็อกสินค้าก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ โดยเดือนมกราคม – พฤษจิกายน มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 555 ราย เพิ่มขึ้น 54 ราย คิดเป็น 10.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง 501 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 964 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112 ล้านบาท คิดเป็น 13.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 144,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17,981 ล้านบาท คิดเป็น 14.2% เมื่อเทียบกับปี 2566

3.ธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง แบ่งเป็น 2 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ การผลิตอาหารสำเร็จรูปสำหรับสัตว์เลี้ยง และร้านขายปลีกสัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จากพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว ส่งผลให้ความต้องการสินค้าระดับพรีเมียมขยายตัวสูงขึ้น โดยเดือนมกราคม – พฤษจิกายน มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 214 ราย เพิ่มขึ้น 33 ราย คิดเป็น 18.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง 181 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 392 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127 ล้านบาท คิดเป็น 48% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 101,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,555 ล้านบาท คิดเป็น 14.2% เมื่อเทียบกับปี 2566

4.ธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มไลฟ์สไตล์ แบ่งเป็น 3 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ ผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มให้พลังงานสูง และเครื่องดื่มไลฟ์สไตล์ ธุรกิจเครื่องดื่มฯ ปัจจุบันกลายเป็นตัวชี้วัดกำลังซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสนใจต่อสินค้าสุขภาพ และการเติบโตของธุรกิจที่พัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมเฉพาะทาง โดยปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 153 ราย ลดลง 73 ราย คิดเป็น  32.30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง 226 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 11,321.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,790 ล้านบาท คิดเป็น 21.28 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีทุนจัดตั้ง 532 ล้านบาท แม้ตัวเลขการจัดตั้งใหม่จะลดลง แต่มูลค่าทุนจดทะเบียนเพิ่มสูงขึ้นสวนทางกว่า 135.67 เท่า และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 105,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,032 ล้านบาท คิดเป็น 3.97% เมื่อเทียบกับปี 2566

5.ธุรกิจผลิตภาพยนตร์ เป็นธุรกิจที่ได้รับแรงส่งจากนโยบาย Soft Power ของไทยที่ผลักดันคอนเทนต์สู่ตลาดโลก โดยเฉพาะซีรีส์วาย Boys’ Love, Girl’s Love ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจผ่านการส่งออกลิขสิทธิ์ และกิจกรรมแฟนมีตติ้ง ในปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 138 ราย ลดลง 1 ราย คิดเป็น 0.7% จากช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง 139 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 189 ล้านบาท ลดลง 204 ล้านบาท คิดเป็น 51.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 แม้รายได้รวมจะทรงตัว แต่ความสามารถในการทำกำไรกลับพุ่งทะยาน อย่างโดดเด่น โดยปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 13,411 ล้านบาท ลดลง 188 ล้านบาท คิดเป็น 1.4% เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่กำไรสุทธิปี 2567 สูงถึง 474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 238 ล้านบาท คิดเป็น 100.3% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 236 ล้านบาท

กลุ่มด้านสุขภาพ คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสถานพยาบาลและเภสัชภัณฑ์ แบ่งเป็น 3 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่

  • การค้าส่ง-ค้าปลีก สินค้าทางเภสัชภัณฑ์และเวชภัณฑ์
  • โรงพยาบาล
  • โรงพยาบาลเฉพาะทาง

เป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโลก ควบคู่ไปกับการรองรับสังคมผู้สูงอายุที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น คาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้จ่ายรวมของผู้สูงอายุในปี 2572 จะพุ่งแตะระดับ 2.2 ล้านล้านบาท มีปัจจัยสำคัญจากความต้องการในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความมั่งคั่งสูง รวมถึงการปรับตัวใช้เทคโนโลยี (Caretech) เช่น AI และ IoT เพื่อยกระดับความเชื่อมั่น และมาตรฐานบริการให้เทียบเท่าสากล ดึงดูดกลุ่มลูกค้าต่างชาติ และรองรับการเป็น Retirement Destination ในปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 1,648 ราย เพิ่มขึ้น 179 ราย คิดเป็น 12.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง 1,469 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 3,480 ล้านบาท ลดลง 2,818 ล้านบาท คิดเป็น 44.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,103,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70,937 ล้านบาท คิดเป็น 6.9% เมื่อเทียบกับปี 2566

“กรมฯ เชื่อว่ากลุ่มธุรกิจดาวรุ่งเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่ปรับตัวเข้าสู่การใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และข้อมูลข้างต้นจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน สำหรับใช้ประกอบการวางแผนธุรกิจได้ทันกระแส และทราบถึงแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต”