เลขาฯบีโอไอ ผ่าแนวโน้มการลงทุนไทย 2569 ปลดล็อกที่ดิน-ไฟฟ้า-แรงงาน

30 ธ.ค. 2568 | 00:00 น.

สัมภาษณ์พิเศษ เลขาฯ บีโอไอ ผ่าแนวโน้มการลงทุนไทย 2569 กาง 5 ภารกิจใหญ่ ดึงต่างชาติ ลุยปลดล็อกปัญหาที่ดิน ไฟฟ้า แรงงาน เล็งลงทุนใหม่ภาคเหนือ และอีสาน พร้อมใช้กลไก Fast Pass เร่งดึงลงทุนอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

KEY

POINTS

  • แนวโน้มการลงทุนปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยบีโอไอจะมุ่งดึงดูดการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ และดิจิทัล
  • ปัจจัยหนุนการลงทุนที่สำคัญมาจากการย้ายฐานการผลิตระหว่างประเทศ กระแสการลงทุนสีเขียว และการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI และดาต้าเซ็นเตอร์
  • บีโอไอเร่งปลดล็อกอุปสรรคสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุน ทั้งในด้านการจัดหาที่ดินสำหรับอุตสาหกรรม การเข้าถึงพลังงานสะอาด และการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง

สถานการณ์ด้านการลงทุนของไทยในปี 2569 ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่กำลังเกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง รวมทั้งยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะสงครามการค้า และความยัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์

ฐานเศรษฐกิจ มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถึงแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทยในปี 2569 โดยยอมรับว่า ในปี 2569 การลงทุนยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อเนื่องจากปี 2568 คาดว่า ตัวเลขการลงทุนจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจัยทางด้านการเมืองจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจมากนัก เพราะนักลงทุนเข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทยดี

“ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า แม้การเมืองจะเปลี่ยน แต่นโยบายของทุกรัฐบาลก็เน้นการดึงดูดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติยังคงแข็งแกร่ง และไม่ได้รับผลกระทบอะไร ซึ่งในปีหน้าบีโอไอก็คาดว่า แนวโน้มการลงทุนต่างชาติยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยตัวเลขล่าสุด 9 เดือนของปีนี้ ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีมูลค่ารวมทะลุ 1.3 ล้านล้านบาทแล้ว” นายนฤตม์ ระบุ

เปิด 5 ปัจจัยหนุนการลงทุน ปี 2569

ทั้งนี้บีโอไอประเมินปัจจัยหลักที่สนับสนุนการลงทุนในประเทศไทยในปี 2569 ดังนี้

1.กระแสการโยกย้ายฐานการลงทุนระหว่างประเทศ เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างขั้วมหาอำนาจต่างๆ ของโลก บริษัทใหญ่จำนวนมากที่เคยมีฐานผลิตในจีน ขณะเดียวกันก็เริ่มขยับขยายออกมาหาฐานผลิตใหม่ โดยยังคงฐานผลิตในจีนสำหรับตลาดจีน (China for China) และมุ่งมาลงทุนที่อาเซียนเพื่อใช้เป็นฐานผลิตและส่งออกไปยังตลาดโลก รวมทั้งตลาดในสหรัฐอเมริกา 

2.การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดและการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้เกิดการเร่งลงทุนในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลโดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์ และโครงสร้างพื้นฐาน AI เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีการลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวดังกล่าว  

3.เทรนด์โลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืน (Sustainability) และเป้าหมายการลดคาร์บอน (Decarbonization) ทำให้เกิดกระแสการลงทุนสีเขียวที่ครอบคลุม ได้แก่  Green products, Green packaging, Green supply chain & logistics โดยเฉพาะพลังงานสะอาด (Green energy) มีความต้องการเพิ่มขึ้นมาก ทำให้เกิดการลงทุนในกลุ่มพลังงานสะอาดพุ่งสูงขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

4.การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ทำให้กำลังแรงงานลดน้อยลง เราจำเป็นต้องยกระดับบุคลากรให้ทำงานที่มีคุณค่าสูงขึ้น และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำงานแทนคนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนในกลุ่มธุรกิจดิจิทัล รวมทั้งอุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Digitalization & Automation) นั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว 

5.มาตรการภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) ซึ่งเป็นกติกาภาษีใหม่ทำให้แต่ละประเทศต้องแข่งขันกันด้วยเครื่องมืออื่นที่ไม่ใช่แค่ภาษี เช่น ความสะดวกในการลงทุนและปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น 

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนกังวลมากที่สุดในปี 2569 คือความไม่แน่นอนที่คาดเดาไม่ได้ เช่น ความไม่แน่นอนจากนโยบายของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ของสหรัฐ รวมทั้งความผันผวนของค่าเงินบาท ที่เคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ส่งออกที่เข้ามาลงทุนในไทยอย่างมาก 

กางแผน 5 ด้านสำคัญผลักดันการลงทุน

อย่างไรก็ตามบีโอไอจะยังพร้อมผลักดันการลงทุนในประเทศ เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และพัฒนาระบบนิเวศภายในประเทศ รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยผ่าน 5 ภารกิจสำคัญ ดังนี้

1.การดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะการสร้างฐาน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่งมากขึ้น ได้แก่ BCG, ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนสำคัญ, เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัลและ AI, กิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (Regional Headquarter) รวมทั้งอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นๆ เช่น ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ อากาศยาน การแพทย์ เป็นต้น 

2. การดึงดูดกลุ่มบุคลากรทักษะสูง หรือ Talent ให้เข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ  ผ่านการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และสิทธิประโยชน์อื่นๆ โดยในส่วนของ BOI รับผิดชอบวีซ่า 3 ประเภทสำคัญ คือ BOI visa, Long-term Resident (LTR) visa และ SMART visa รวมทั้งศูนย์ One Stop Service ที่ใช้ชื่อว่า Thailand Investment and Expat Service Center (TIESC) โดยปัจจุบันเปิดดำเนินการ ณ อาคาร One Bangkok 

3.การพัฒนาบุคลากรไทย เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย  โดยผลักดันผ่าน “มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่” เป็นการให้เงินสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ปัจจุบันมีผู้ยื่นขออนุมัติหลักสูตรกว่า 100 ราย รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 หลักสูตร 

โดยตั้งเป้าหมายจำนวนผู้ที่คาดว่าจะเข้ารับการฝึกอบรมเกินเป้า 1 แสนคนซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดกรอง ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างบีโอไอ กระทรวงอุดมศึกษาวิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน โดยจะทยอยเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติตั้งแต่เดือนมกราคม 2569 เป็นต้นไป 

4. การเสริมสร้างความเข้มแข็งซัพพลายเชนเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และดาต้าเซ็นเตอร์ โดยบีโอไอจะเดินหน้าจัดกิจกรรมเชื่อมโยงระหว่างบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศและผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย เช่น งาน Subcon Thailand, THECA และงาน Sourcing Day ที่บีโอไอจับมือกับบริษัทแต่ละราย 

รวมทั้งมาตรการด้านสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการร่วมทุนระหว่างไทย-ต่างชาติ และส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local content) ซึ่งจะสร้างระบบนิเวศให้อุตสาหกรรมในอนาคต ขณะเดียวกันหากประเทศไทยสามารถเจรจา FTA โดยเฉพาะ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนที่มากขึ้น เพราะ EU ถือเป็นตลาดใหญ่ที่จะดึงบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนได้ 

5.การอำนวยความะสะดวกในการลงทุน หรือ Ease of Investment  ผ่านกลไก “Thailand Fast Pass” ซึ่งบอร์ดบีโอไอได้คัดเลือกโครงการที่จะได้รับบัตร Fast Pass ล็อตแรก จำนวน 16 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 1.7 แสนล้านบาท

ขณะเดียวกันบีโอไอกำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรม (กนอ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมศุลกากร กรมโยธาธิการและผังเมือง หน่วยงานด้านไฟฟ้า คาดว่าจะลดขั้นตอนขอใบอนุญาตลงได้ 20-50%

เตรียมปลดล็อคอุปสรรคนักลงทุน

นายนฤตม์ กล่าวว่า บีโอไอยังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปลดล็อคอุปสรรคของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านไฟฟ้าและพลังงานสะอาด การขยายพื้นที่สำหรับการลงทุน การปรับปรุงระบบวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน รวมทั้งอุปสรรคด้านอื่น ๆ โดยเตรียมปลดล็อกแก้ปัญหาให้กับนักลงทุนคือการแก้ปัญหาด้านที่ดิน และไฟฟ้า 

โดยในด้านที่ดิน ปัจจุบันที่ดินผืนใหญ่ที่เป็นพื้นที่สีม่วง (อุตสาหกรรม) โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เริ่มขาดแคลนและมีราคาสูง บีโอไอจึงเร่งประสานเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่สาธารณะ ที่ไม่ได้ใช้งานแต่ติดข้อกฎหมายทำให้การพัฒนาที่ดินล่าช้า ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 20 โครงการที่ติดปัญหานี้ นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดพื้นที่การลงทุนใหม่ เช่น คลัสเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ในภาคเหนือ (ลำพูน-ลำปาง) และอุตสาหกรรมแปรรูปในภาคอีสานเพื่อกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาค 

ส่วนของด้านพลังงาน บีโอไอพบว่านักลงทุนมีความต้องการพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซนเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ ต้องการพลังงานสะอาด 100%

ทั้งนี้บีโอไอจึงทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อผลักดันกลไก Direct PPA 2,00 เมกะวัตต์ และ UGT 2 (Utility Green Tariff) ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ รวมทั้งอยู่ระหว่างทำแผนที่พลังงาน (Power Map) ร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อดูพื้นที่ที่มีความพร้อมในการลงทุนดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งอาจอยู่นอกพื้นที่อีอีซี เป็นต้น

สำหรับการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย นายนฤตม์ กล่าวว่าเป้าหมายใหญ่ของไทยคือ การเปลี่ยนจากผู้นำเข้า EV เป็นผู้ผลิตเพื่อรักษาฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศเอาไว้ให้ได้ แม้ปัจจุบันจะเกิดสงครามราคาจากการหดตัวของตลาดรถยนต์ในประเทศ แต่บีโอไอและบอร์ด EV ได้ปรับมาตรการอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเพื่อจูงใจให้ค่ายรถส่งออกมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากสต็อกสินค้าในประเทศ

“บีโอไอให้ความสำคัญกับการสร้าง Ecosystem ที่ครบวงจรมากกว่าการมุ่งเน้นเพียงโรงงานประกอบรถยนต์เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งแบตเตอรี่คือหัวใจสำคัญ ล่าสุดได้ส่งเสริมโครงการแบตเตอรี่ระดับโมดูลและแพ็คไปแล้วเกือบ 50 โครงการ และกำลังเร่งผลักดันการผลิตระดับเซลล์ ซึ่งเป็นต้นน้ำ โดยอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 2-3 โครงการ เพื่อทำให้ไทยเป็นฐานผลิตวัตถุดิบต้นน้ำเข้ามาในห่วงโซ่อุปทานต่อไป”นายนฤตม์ กล่าวทิ้งท้าย