บีโอไอ เจาะขุมทุนจีน 7,000 ล้าน ดึงซัพพลายเชนหุ่นยนต์ ตั้งฐานการผลิตไทย

19 ธ.ค. 2568 | 04:15 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2568 | 04:17 น.

'เอกนิติ' นำคณะบีโอไอ เยือนเซี่ยงไฮ้ พบนักลงทุนจีนกว่า 600 คน ชง Thailand FastPass ดึงดูดการลงทุน ข่าวดีเอกชนซัพพลายเชนหุ่นยนต์ 3 บริษัท ทุ่ม 7,000 ล้าน ตั้งฐานการผลิตในไทย พ่วงธุรกิจดิจิทัล พลังงานสะอาด

KEY

POINTS

  • บีโอไอจัดโรดโชว์ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและชักชวนนักลงทุนจีนให้มาตั้งฐานการผลิตในไทย
  • ประสบความสำเร็จในการเจรจากับบริษัทจีน 3 รายในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนเทคโนโลยีสูงสำหรับหุ่นยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า
  • บริษัททั้ง 3 แห่งมีแผนลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยเฟสแรกรวมมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อสร้างคลัสเตอร์อุตสาหกรรมชิ้นส่วนหุ่นยนต์

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการจัดโรดโชว์ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา นำโดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่า

การเยือนครั้งนี้ บีไอไอได้จัดงานสัมมนาใหญ่ “Thailand-China Investment Forum 2025” ณ โรงแรมเซี่ยงไฮ้ ผู่ตง เคอรี่ นครเซี่ยงไฮ้ เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเป็นฐานการลงทุนในภูมิภาค พร้อมนำเสนอนโยบายและมาตรการของรัฐบาลที่สนับสนุนการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และชี้ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนในสาขาต่าง ๆ และปัจจัยที่เอื้ออำนวยของประเทศไทย โดยมีผู้บริหารบริษัทชั้นนำของจีนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่งกว่า 600 คน

ภายในงานสัมมนา รองนายกรัฐมนตรี เอกนิติฯ ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่อนาคต ผ่านนโยบาย Quick Big Win และการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต อาทิ ดิจิทัล พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ และระบบอัตโนมัติ ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง โครงสร้างพื้นฐาน และการปฏิรูปกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการลงทุน 

พร้อมนำเสนอกลไก Thailand FastPass ที่จะช่วยเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญ โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับจีนในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือไทย–จีน เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี บุคลากร และห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก 

ขณะที่เลขาธิการบีโอไอ ได้นำเสนอปัจจัยดึงดูดการลงทุนของไทย มาตรการส่งเสริมการลงทุนที่สำคัญ และโอกาสการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ ได้แก่ อุตสาหกรรม BCG ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งล้วนเป็นสาขาที่นักลงทุนจีนมีศักยภาพ และยังเชิญชวนให้นักลงทุนจีนมาร่วมสร้างการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานกับผู้ประกอบการไทยมากยิ่งขึ้น 

ในงานสัมมนา ยังมีการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนจีนในไทย อาทิ การให้ความรู้ด้านกฎหมายและการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศจากผู้บริหารของสภาส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของจีน (CCPIT) รวมถึงการแบ่งปันประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยจากผู้บริหารบริษัท Micro-Tech Medical Technology ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ชั้นนำจากจีน

ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการบีโอไอ ยังได้หารือแผนการลงทุนกับบริษัทเป้าหมาย 5 ราย ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเทคโนโลยีสูงสำหรับหุ่นยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจดิจิทัล และพลังงานสะอาด ดังนี้

1.กลุ่มชิ้นส่วนเทคโนโลยีสูงสำหรับหุ่นยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท Seenpin Electromechanical Transmission ผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะความแม่นยำสูงสำหรับเป็นข้อต่อ แขน และนิ้วของหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ โดยมีลูกค้ารายสำคัญ คือ Tesla Bot 

อีกทั้งยังมีบริษัท Zhejiang Jinwo Precision Machinery ผู้เชี่ยวชาญด้าน Bearing Ring และชิ้นส่วนโลหะความแม่นยำสูงสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องจักร และบริษัท Zhejiang XCC Group ผู้ผลิตแบริ่งและชิ้นส่วนโลหะความแม่นยำสูงสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและหุ่นยนต์ 

โดยทั้ง 3 บริษัท มีแผนตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย มูลค่าการลงทุนรวมในเฟสแรกกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งไทยมีโอกาสสูงในการสร้างคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใหม่ในกลุ่มชิ้นส่วนเทคโนโลยีสูงของหุ่นยนต์

2.กลุ่มดิจิทัล คณะได้พบกับบริษัท Ant International ผู้นำเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) ระดับโลกในเครือ Alibaba ที่ให้บริการชำระเงินดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์ม Alipay, Antom และ Cross-border payment ผ่าน WorldFirst ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยวและธุรกิจดิจิทัลของไทย โดยมีแผนขยายความร่วมมือด้านระบบชำระเงินดิจิทัล เช่น การใช้ PromptPay ในภาคธุรกิจและ Cross-border payment ไทย–จีน 

โดยรองนายกรัฐมนตรีได้เชิญให้บริษัทนำเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มมาสนับสนุน SMEs ให้เข้าถึงตลาดโลก และทำโชว์เคสเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองในช่วงเวลาที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม World Bank และ IMF ในปี 2569 นอกจากนี้ บริษัทจะศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้ามาลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ในประเทศไทยด้วย 

3.กลุ่มพลังงานสะอาด คณะได้เยี่ยมชมกิจการและหารือกับประธานบริษัท GCL Group ผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานแบบครบวงจรอันดับ 1 ของจีน ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การผลิตไฟฟ้า การผลิตคาร์บอนและลิเทียม ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่ การผลิตซิลิกอนเพื่อใช้สำหรับโซลาร์เซลล์และเซมิคอนดักเตอร์ 

รวมถึงผลิตโซลาร์เซลล์ที่ใช้เทคโนโลยี Photovoltaic Perovskite ซึ่งมีประสิทธิภาพการแปลงแสงอาทิตย์ไปเป็นไฟฟ้าสูงกว่าโซลาร์เซลล์แบบดั้งเดิม โดยบริษัทกำลังวางแผนร่วมทุนกับบริษัทไทย เพื่อผลิตโซลาร์เซลล์ด้วยเทคโนโลยี Photovoltaic Perovskite แบบครบวงจรในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นฐานการส่งออกไปยังตลาดโลก 

โดยรองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้บีโอไอประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยสนับสนุนการลงทุนของบริษัท รวมถึงการผลักดันให้บริษัทพิจารณาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยต่อไป

นายนฤตม์ กล่าวว่า ในช่วงยุบสภา บีโอไอยังเดินหน้าทำงานเต็มที่ ทั้งการดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการผลักดันนโยบายต่างๆ ที่เริ่มทำไว้แล้ว โดยเฉพาะ 3 มาตรการสำคัญ คือ Thailand FastPass มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ (Upskill & Reskill) และมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Business Transformation) ในส่วนของโรดโชว์ดึงการลงทุนจากต่างประเทศ จะเน้นประเทศผู้ลงทุนรายใหญ่ 

โดยได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามมาด้วยประเทศจีนในครั้งนี้ ซึ่งบริษัทชั้นนำจากจีนยังมีแนวโน้มจะเข้ามาตั้งฐานธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัลและ AI หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ พลังงานสะอาด โดยท่านรองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำเรื่องการเข้ามาช่วยพัฒนาบุคลากรและสร้างซัพพลายเชนในประเทศไทยด้วย

ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563 – กันยายน 2568) มีนักลงทุนจีนยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน จำนวน 2,459 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 6.1 แสนล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากจีน มีมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน