ยานยนต์–อิเล็กทรอนิกส์หนุนเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ก.ย. 68 ฟื้น-โต 1%

23 ธ.ค. 2568 | 06:45 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ธ.ค. 2568 | 06:49 น.

ครม.รับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือน ก.ย. 2568 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว 1.0% จากอุตฯยานยนต์ ปิโตรเลียม และอิเล็กทรอนิกส์

KEY

POINTS

  • ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน 2568 ขยายตัว 1.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม
  • อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นปัจจัยหนุนสำคัญ โดยเติบโต 5.6% จากความต้องการรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
  • อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวสูงถึง 9.4% จากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 23 ธันวาคม 2568 นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนกันยายน 2568 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เสนอ

                ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

รายงานระบุว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 94.56 ขยายตัว ร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนสัญญาณการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของภาคอุตสาหกรรม จากแรงหนุนของความต้องการในประเทศและตลาดส่งออกในบางกลุ่มสินค้า

สำหรับอุตสาหกรรมสำคัญที่มีส่วนช่วยหนุนการขยายตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ ขยายตัว ร้อยละ 5.6 จากความต้องการรถยนต์ไฮบริด รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงแรงกระตุ้นจากกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงปลายไตรมาส

ขณะที่ ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัว ร้อยละ 3.6 ตามความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซล และแก๊สโซฮอล์ ส่วน ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวสูงถึง ร้อยละ 9.4 จากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป (PCBA)

อย่างไรก็ตาม ยังมีบางอุตสาหกรรมที่หดตัว ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ หดตัว ร้อยละ 23.0 จากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอลงและการแข่งขันจากสินค้านำเข้า กาแฟ ชา และสมุนไพรผงสำเร็จรูป หดตัวสูงถึง ร้อยละ 85.2 จากการหยุดการผลิตของผู้ประกอบการรายใหญ่และการนำเข้าสินค้าทดแทน รวมถึง ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ที่หดตัว ร้อยละ 8.0 สอดคล้องกับการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า รายงานดังกล่าวเป็นข้อมูลสำคัญในการติดตามทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ และจะช่วยสนับสนุนการกำหนดนโยบายและมาตรการที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะต่อไป