อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 69 ปรับสู่สมดุลใหม่ EV ส่วนแบ่งตลาดพุ่ง 25% เสริมไทยยืนหนึ่งอาเซียน

09 ธ.ค. 2568 | 22:15 น.

ช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังเผชิญกับปัจจัยกดดันรอบด้าน เฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยกดทับกำลังซื้อ

KEY

POINTS

  • คาดการณ์ว่าในปี 2569 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะฟื้นตัว โดยมีส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 20-25%
  • นโยบายภาครัฐ EV 3.5 เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการลงทุนและการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เพื่อชดเชยการนำเข้าและทำให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น
  • การปรับตัวสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่สมดุลใหม่ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ไทยรักษาตำแหน่งฐานการผลิตยานยนต์อันดับ 1 ในอาเซียน

ช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังเผชิญกับปัจจัยกดดันรอบด้าน เฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยกดทับกำลังซื้อ ส่งผลยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยลดลง ขณะที่การส่งออกรถยนต์ไทยก็ชะลอตัวลงจากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจของตลาดประเทศปลายทาง

ล่าสุด“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์ ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ถึงการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ของอุตสาหกรรม ยานยนต์ไทยนับจากนี้

ปี 2569 ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ประเมินว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 2569 มีแนวโน้ม “ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป” โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฮบริด ซึ่งภาครัฐยังคงเดินหน้านโยบายส่งเสริมการลงทุนและการบริโภคยานยนต์พลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การขยายฐานการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศ รวมถึงการเร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยการนำเข้าตามมาตรการของภาครัฐ โดยในปีหน้านี้ ผู้ประกอบการที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาจำหน่ายในประเทศไทยภายใต้มาตรการ EV3.5 จะต้องผลิตชดเชยในอัตราส่วน 1:2 ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้เกิดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศสูงถึง 150,000 คัน

ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์

อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อภายในประเทศยังคงฟื้นตัวช้า เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดรถยนต์ในประเทศ ส่วนการส่งออกยังเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลก การแข่งขันของตลาดที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น และข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ซึ่งอาจส่งผลต่อปริมาณการผลิตรถยนต์ของไทยในปีหน้า แต่การผลิตรถยนต์ของไทยก็ยังมีโอกาสเติบโตได้ เนื่องจากอุตสาหกรรมมีการปรับตัวสู่การผลิตยานยนต์กลุ่มยานยนต์สมัยใหม่ (xEV) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการของตลาด รวมถึงการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรภายในประเทศ ก็อาจช่วยให้ไทยยังคงเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลกได้

รถยนต์ไฟฟ้าจ่อพุ่ง 20 - 25%

สำหรับปี 2569 ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง ยังคงได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ภายใต้มาตรการ EV 3.5 ของภาครัฐ ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอัตราส่วน 2 คันต่อการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) 1 คัน ส่งผลเกิดการเร่งลงทุนตั้งสายการผลิต EV เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และเกิดการขยายตัวของอุปทานในประเทศ

ขณะที่การแข่งขันของตลาดรถยนต์ที่ยังคงเข้มข้น ทำให้ราคาจำหน่ายรถไฟฟ้าปรับลดลงอยู่ในระดับที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้มากขึ้น พร้อมทั้งมีการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวในปีหน้ามีโอกาสที่จะเห็นสัดส่วนตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 20- 25% ของตลาดรถยนต์นั่งและรถกระบะ โดยรวมกลายเป็นกลุ่มตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ของไทยในอนาคตอีกด้วย

นอกจากรถยนต์ BEV ที่ได้รับความนิยมในตลาดประเทศ ไทยโดยเฉพาะผู้บริโภคในชุมชนเมืองแล้ว กลุ่มรถยนต์ไฮบริด (HEV และ PHEV) รวมถึง REEV ที่ปัจจุบันเป็นกลุ่มรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในไทยไม่แพ้กัน เห็นได้จากสัดส่วนปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง HEV และ PHEV ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 1 ใน 4 ของตลาดรถยนต์รวมในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้

ฐานผลิตไทยยังคงที่ 1 อาเซียน

หากมองในภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างชัดเจน และ “ไม่ใช่การถอยหลัง” ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่เป็น “ช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ” ของอุตสาหกรรมที่กำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่

“หากมองย้อนกลับไปจะเห็นว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 60 ปี มีความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานในประเทศที่ครบวงจร ตั้งแต่ชิ้นส่วนระดับ Tier 1 ถึง Tier-3 ตลอดจนความพร้อมของอุตสาหกรรม สนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาสถานะการเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก อันดับ 5 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของอาเซียนได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกผันผวนหรือการแข่งขันรุนแรงเพียงใดก็ตาม"

อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ถือเป็นการปรับตัวเข้าสู่ “สมดุลใหม่” ที่กำลังจะเกิดขึ้นมากกว่า ในอีกมุมหนึ่งจะเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจากการเข้ามาของค่ายรถยนต์พลังงานทางเลือกหลายราย โดยเฉพาะค่ายรถยนต์จีน ที่เลือกใช้ไทยเป็น “ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแห่งที่สอง” หรือ “Second Home Base” เพื่อตอบสนองตลาดอาเซียนและการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลให้ปัจจุบันไทยมีกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 5 แสนคันต่อปี

สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า ไทยยังคงเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในสายตานักลงทุน ทั้งในแง่ของตลาด โครงสร้างพื้นฐาน ห่วงโซ่อุปทาน ความพร้อมของแรงงานฝีมือ ตลอดจนความได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่ประเทศอื่นในภูมิภาคยังตามไม่ทัน

ก้าวอีกขั้นกับความท้าทายใหม่

การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องของ “รถไฟฟ้า” หรือรถยนต์พลังงานทางเลือกเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบัน โลกกำลังมุ่งไปสู่การพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มความปลอดภัย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เราจะได้ยินคำศัพท์ใหม่ ๆ ที่ต่างประเทศเริ่มพูดถึงมากขึ้น เช่น “ยานยนต์ที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์” หรือ Software Defined Vehicles (SDVs) “ยานยนต์เชื่อมต่ออัจฉริยะ” Intelligent Connected Vehicles (ICVs) ซึ่งถือเป็น “ความท้าทายใหม่” และ “บันไดขั้นต่อไป” ที่รอเราอยู่ข้างหน้า  จะส่งผลกระทบเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมยานยนต์  ทั้งในแง่ของการวิจัยและพัฒนา การผลิต รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนเพื่อรองรับการทำงานของระบบต่างๆ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อรองรับการใช้งานเทคโนโลยียานยนต์เหล่านี้ และการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ “ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี” 

ประเมินโดยรวมแล้วในปี 2569 เป็นทั้ง “ปีแห่งโอกาส” ที่จะก้าวสู่การฐานการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือเป็น “ใบเบิกทางสำคัญ” เพื่อสร้างโอกาสในการเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ของภูมิภาคในอนาคต ขณะเดียวกันก็เป็น “ปีที่ท้าทาย” สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ กฎระเบียบระหว่างประเทศ การแข่งขัน และความไม่แน่นอนของตลาดส่งออก ดังนั้น การปรับตัวด้านเทคโนโลยี การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และการเสริมทักษะแรงงาน จึงเป็นสิ่งที่เรายังคงต้องทำอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน