KEY
POINTS
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม - ตุลาคม) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 869 ราย
โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 228 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 641 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 276,736 ล้านบาท โดยมีจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 158 ราย คิดเป็น 18% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 78,285 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
2. สหรัฐอเมริกา 127 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 4,830 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
3. สิงคโปร์ 126 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 92,318 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
4. จีน 116 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 25,404 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
5. ฮ่องกง 93 ราย คิดเป็น 11% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 13,198 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 83 ราย (11%) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 115,567 ล้านบาท (72%)
รวมถึงมีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวรวม 5,364 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,331 คน (77%) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน
นอกจากนี้ ยังพบว่า การลงทุนของต่างชาติที่เข้ามา ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงถึง 424 ราย คิดเป็น 49% ของจำนวนการอนุญาตทั้งหมด 869 ราย มูลค่าลงทุน 210,101 ล้านบาท คิดเป็น 76% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 276,736 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติของรัฐบาลที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมอนาคต (Future Industries) เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล AI ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และเกษตรอาหาร
โดยประเภทธุรกิจที่ได้รับอนุญาตผ่านช่องทาง BOI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1. ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะ/พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งสนับสนุนการพัฒนา การผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
2. กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (TISO) ที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนและโลจิสติกส์ในภูมิภาค
3. ธุรกิจบริการด้านคอมพิวเตอร์ เช่น พัฒนาซอฟต์แวร์ และ Data Center เป็นต้น โดยตรงกับเป้าหมายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และการพัฒนา Data Center และ AI Services
นายพูนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม - ตุลาคม) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC 253 ราย คิดเป็น 29% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 2 ราย (1%)
โดยมีมูลค่าการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC 90,791 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจาก
โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ
ทั้งนี้ เฉพาะเดือนตุลาคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 99 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 27 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 72 ราย เงินลงทุนรวม 23,621 ล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก สิงคโปร์ จีน และ ญี่ปุ่น ตามลำดับ มีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 232 คน รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการบำรุงรักษาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติองค์ความรู้เกี่ยวกับการมาตรฐานระบบความปลอดภัยสารสนเทศ และองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก เป็นต้น
สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในเดือนตุลาคม 2568 ได้แก่