คลังยังไม่สรุป 'TISA' ระบุลดหย่อนภาษี 0.7-1.3 เท่า เปลี่ยนได้

11 ธ.ค. 2568 | 10:42 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ธ.ค. 2568 | 10:50 น.

คลังยังไม่สรุป 'TISA' ระบุเปลี่ยนสัดส่วนลดหย่อนภาษี จากตัวเลข 0.7-1.3 เท่าได้ คาดชงครม.ใน 1-2 สัปดาห์ พร้อมชูเป้าหมายส่งเสริมออม

นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนระยะยาวรูปแบบใหม่ หรือ TISA ดังนั้น ข้อกังวลเกี่ยวกับวงเงินรายได้ของผู้ออมที่นำมาหักลดหย่อนภาษีที่กำหนดไว้ 8 แสนบาท และมีเงื่อนไขคนที่มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาท ให้ลดหย่อนภาษี 0.7 เท่า ส่วนคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ได้ลดหย่อนภาษี 1.3 เท่า ยังเปลี่ยนแปลงได้ 

“ข้อเสนอดังกล่าวเป็นแค่แนวทางศึกษาหนึ่งเท่านั้นยังไม่ได้สรุป ซึ่งคลังเร่งศึกษารายละเอียดให้จบ เพื่อเตรียมเสนอ ครม.ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ และให้มีผลบังคับใช้ปีภาษี 69 เป็นต้นไป”

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการทำบัญชี TISA มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมกาออมระยะยาวของคนไทยให้มีทางเลือกและยืดหยุ่นได้ โดยมีวงเงินการออมสูงสุด 1 ล้านบาท แยกเป็นวงเงินลงทุนสำหรับใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท ซึ่งในจำนวนนี้จะเลือกลงทุนได้ ได้แก่

นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง

  • ประกันชีวิตแบบบำนาญ
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF
  • กองทุนรวมดัชนี
  • ตราสารหนี้
  • ไทยอีเอสจี
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนการออมแห่งชาติ
  • กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ  
  • รวมถึงหุ้นรายตัว หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 

 “เราสามารถเลือกลงทุนจำนวนเท่าไรก็ได้แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 8 แสนบาท แตกต่างจากเดิมที่การลงทุนจะจำกัดเป็นรายตัว เช่น การลงทุนประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษีไว้ที่ 2 แสนบาท ไทยอีเอสจีได้ 3 แสนบาท เป็นต้น”

นอกจากนี้ ในบัญชี TISA ยังเปิดโอกาสให้ออมเพิ่มได้อีกปีละ 200,000 บาท เพื่อได้รับยกเว้นภาษีจากดอกเบี้ย เงินปันผล และส่วนต่างกำไรอีกด้วย แต่วงเงินก้อนนี้ไม่สามารถนำไปขอลดหย่อนภาษีได้ ที่สำคัญยังเปิดให้วงเงินในบัญชี TISA ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันขอสินเชื่อเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินได้ด้วย

ส่วนดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้าน รวมถึงเงินจากเบี้ยประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ยังสามารถแยกนำไปลดหย่อนภาษีได้ต่างหาก โดยไม่นำมารวมในบัญชีทิสา ทั้งนี้ จะปรับเงื่อนไขลงทุน RMF ในปีหน้า ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขบัญชีทิสาด้วย สำหรับระยะเวลาลงทุนใน TISA กำหนดให้ถือไว้ขั้นต่ำ 5 ปี และถอนวงเงินลงทุนได้เมื่ออายุ 55 ปี เช่น อายุ 53 ปี ต้องถือครองไปอีก 5 ปีเป็นต้น 

นอกจากบัญชี TISA แผนการออมนี้ ยังมีโครงการออมพลัส ผ่านพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลที่ให้ออมขั้นต่ำเดือนละ 1,000 บาท รวมถึงการส่งเสริมให้ซื้อประกันภัย เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงชีวิตและทรัพย์สินด้วย

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้วงเงินลดหย่อนภาษีรวมอยู่ที่ 800,000 บาทอยู่แล้ว โดยมาจากกองทุนทั่วไป 500,000 บาท และ THAI ESG 300,000บาท และปีหน้าสิทธิลดหย่อนจะเหลือ 600,000 บาท และเหลือ 500,000 บาท ในปี 2576  ดังนั้นรัฐบาลจึงเลือกขยายวงเงินเป็น 800,000 บาทแบบถาวร เพื่อให้วางแผนการออมได้ระยะยาว และไม่ต้องมาขอต่ออายุทุกๆ ปี อีกทั้งยังให้แต้มต่อการซื้อกองทุน ที่ 1.2 เท่าอีกด้วย

"พวกเราที่อยู่ในห้องนี้ รวมถึงตัวผมเอง ก็เจ๊ง LTF เพราะความตั้งใจแรก มันบิดเบือนไปหมดคนซื้อเพราะต้องการ ลดหย่อนภาษี ไม่ใช่เพื่อต้องการลงทุนระยะยาวจริง ๆ  มันคือ ความบิดเบือนในอดีต ทำให้ทั้งผู้ถือหลักทรัพย์อย่างพวกเราต้องเจ๊ง และรัฐบาลเองก็เจ๊งจากค่าลดหย่อนภาษีไปกว่า 40,000 ล้านบาทโดยที่ไม่มีใครได้ประโยชน์จริงเลยดังนั้น เราจะไม่ยอมให้คนไทยต้องเจอเหตุการณ์เดิมแบบในอดีต สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ คือการ แก้ไขความบิดเบือนในอดีต เอาทุกอย่างกลับสู่สิ่งที่ ถูกต้องให้แรงจูงใจที่แท้จริงกับคนที่คิดถึงอนาคตการลงทุนระยะยาว”