KEY
POINTS
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการได้นัดหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาหารือเกี่ยวกับการขับเคลื่อนระบบราชการเพื่ออนาคต เพื่อเข้าร่วมนำเสนอความก้าวหน้าและแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแนวทางการประเมิน Business Ready (B-READY) ของธนาคารโลก หรือ World Bank ซึ่งประเทศไทยได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่จะถูกประเมินที่ 3 โดยจะประกาศผลในปี 2569
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ก.พ.ร. ได้หารือกับมีผู้แทนจากหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักใน 3 ด้าน ได้แก่
1.ด้านการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) ประกอบด้วยกรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
2.ด้านการจัดเก็บภาษี (Taxation) ประกอบด้วย กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
3. ด้านการระงับข้อพิพาท (Dispute Resolution) ประกอบด้วย สำนักงานศาลยุติธรรม
โดยสรุปประเด็นสำคัญ ดังนี้
ด้านการค้าระหว่างประเทศ
1.กรมศุลกากร นำเสนอการขับเคลื่อน National Single Window (NSW) รองรับการยื่น-ประเมินเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และใช้เอกสาร e-Document เช่น ATA Carnet
รวมทั้งการใช้ Central Profile บริหารความเสี่ยงในการตรวจสอบทางกายภาพ และตรวจร่วมกับหน่วยงานชายแดนอื่น และโครงการ Trusted Trader/AEO ให้สิทธิประโยชน์ตรวจปล่อยรวดเร็ว และมี MRA ยอมรับร่วมกัน
2.กรมการค้าต่างประเทศ นำเสนอระบบดิจิทัลครบวงจร เช่น DFT Smart C/O และใบอนุญาตนำเข้า/ส่งออก รวมถึงการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการเพื่อใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่เกิน 20 นาที และทำเพียงครั้งเดียว และการลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ลดการเรียกเก็บเอกสาร ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และสามารถเข้าถึงระบบได้ทุกที่ทุกเวลา
3.กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นำเสนอการจัดทำ Thailand NTR ระบบข้อมูลกฎหมาย/มาตรการ/กฎระเบียบด้านการค้าแบบ One Stop Service ครอบคลุมสินค้า บริการ การลงทุน และ e-Commerce รวมทั้งกรณีที่ประเทศไทยมี Trade Facilitation Enquiry Point 28 หน่วยงาน และปฏิบัติตามพันธกรณี TFA ของ WTO แล้ว
4.กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เสนอว่าล่าสุดเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อ 2 ธันวาคม 2568 ครอบคลุมกลไกทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งประเทศไทยมีกลไกคาร์บอนเครดิต ภายใต้ความร่วมมือทวิภาคีเป็นหนึ่งในเครื่องมือกำหนดราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน
ด้านการจัดเก็บภาษี
1. กรมสรรพากร เสนอว่า ปัจจุบันมีระบบ Tax Registration (ภาษีทั่วไป/VAT) และ VAT Refund ตามมาตรฐานสากล และมีคณะกรรมการอุทธรณ์ที่เป็นอิสระ และกำลังผลักดัน e-Tax Invoice/e-Receipt และมาตรการ Fast-Track คืนภาษี สำหรับ SMEs เช่นเดียวกับ Tax Audit Framework ใช้ภายใน ไม่เผยแพร่สาธารณะ รวมไปถึงการเปิด API เชื่อมบัญชี/ERP เข้าระบบกรมฯ (เริ่ม ม.ค. 2569 สำหรับ ภ.พ.36 และ มี.ค. 2569 สำหรับ ภ.พ.30)
2.กรมสรรพสามิต เสนอว่า ในเรื่องภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยจัดเก็บภาษีรถยนต์/จักรยานยนต์ตามการปล่อย CO2 สนับสนุน EV (3.0/3.5) และพลังงานทางเลือก รวมทั้งกำหนดโครงสร้างภาษีล่วงหน้า 3–5 ปี ให้ภาคอุตสาหกรรมปรับตัว และจะเร่งบูรณาการฐานข้อมูลภาษีสรรพสามิตกับข้อมูลสิ่งแวดล้อมให้เป็นระบบเดียว และเชื่อมโยงหน่วยงานอื่น
3.กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม แจ้งว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมวด 10 ได้กำหนด Carbon Tax ไว้แล้ว และปรึกษาภาคเอกชนก่อนเสนอเครื่องมือการคลังด้านสิ่งแวดล้อม และเผยแพร่ผลรับฟัง/การประเมินผลกระทบทางออนไลน์
ด้านการระงับข้อพิพาท
1.สำนักงานศาลยุติธรรม แจ้งว่าปัจจุบันมีศาลชำนัญพิเศษครบถ้วน เช่น แรงงาน ล้มละลาย ทรัพย์สินทางปัญญา และมีการใช้ e-Court เต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2560 รวมถึงมี e-Filing และกลไก ไกล่เกลี่ย ในทุกขั้นตอนคดี
อย่างไรก็ตามคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นถึงหน่วยงานต่าง ๆ ว่า ควรเร่งพัฒนา NSW ให้เป็น Single Submission เชื่อมครบทุกหน่วยงาน ลดการใช้กระดาษ พร้อมทั้งผลักดัน MRA คุณสมบัติวิชาชีพ สาขาขนส่ง (น้ำ/ถนน/อากาศ) คลังสินค้า และตัวแทนออกของ ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักลงทุน
ขณะที่การรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่างกฎหมาย/กฎระเบียบด้านการค้าระหว่างประเทศ ควรมีระยะเวลา ไม่น้อยกว่า 30 วัน ตามเกณฑ์ B-READY และให้เตรียมแผนขับเคลื่อนสำหรับการจัดเก็บและคำนวณภาษีคาร์บอนเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้
ส่วนในการประชุมครั้งต่อไป แจ้งว่า ขอให้นำเสนอความก้าวหน้าและแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแนวทางการประเมิน B-READY ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านการแข่งขันทางการตลาด (Market Competition) และด้านการล้มละลายทางธุรกิจ (Business Insolvency) รวมถึง ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งขับเคลื่อนของทั้ง 10 ด้านต่อไป