สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. .... ซึ่งจะมาแทนที่พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ที่ใช้บังคับมากว่า 34 ปี และมีการแก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2553 ซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
สำนักงาน ก.พ.ร. ระบุ ระบุว่า พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายหลักในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยกำหนดหลักการสำคัญเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างของระบบบริหารราชการ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ในการบริหารราชการ เช่น การจัดตั้ง การรวม หรือการโอนส่วนราชการระดับกระทรวงและกรม ที่ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ ทำให้ขาดความยืดหยุ่น
ขณะเดียวกันยังมีปัญหาการใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการแต่งตั้งที่ปรึกษาและคณะที่ปรึกษา ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน ปัญหาการจัดตั้งหน่วยงานราชการส่วนกลางในภูมิภาค ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจและการปฏิบัติงาน ปัญหาการมอบอำนาจในการปฏิบัติราชการที่กำหนดให้ผู้รับมอบอำนาจต้องเป็นข้าราชการเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีความสับสนระหว่าง "การมอบหมาย" กับ "การมอบอำนาจ" ตามกฎหมาย ปัญหาการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง รวมถึงการบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่ขาดกลไกในการสร้างความร่วมมือของส่วนราชการและภาคส่วนอื่นในจังหวัด
สาระสำคัญของ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ฉบับใหม่ มีการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องสำคัญๆต่างๆเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้ง หลักการบริหารราชการแผ่นดิน การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น และวิธีการบริหารราชการ เพื่อให้การบริหารงานและการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว คล่องตัว และสอดคล้องกับความต้องการมากขึ้น
ร่างกฎหมายฉบับใหม่ได้กำหนดหลักการบริหารราชการแผ่นดิน ให้มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการและการบริการสาธารณะ
ขณะที่การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง จะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับทบวง ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ปรับปรุงให้การจัดตั้ง รวม หรือโอนกระทรวงและกรมทุกกรณี ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ไม่ใช่พระราชบัญญัติ กำหนดเงื่อนไขว่าหากมีการกำหนดตำแหน่งหรืออัตราข้าราชการหรือลูกจ้างเพิ่มขึ้น ให้ส่งร่างพระราชกฤษฎีกาให้สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบก่อน
นอกจากนั้นยังกำหนดให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาหรือคณะที่ปรึกษา ไม่ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ส่วนราชการอื่นในกระทรวง/กรมสามารถทำหน้าที่แทนสำนักงานปลัดกระทรวง/สำนักงานเลขานุการกรมได้ รวมทั้งยกเลิกการจัดตั้งสำนักนโยบายและแผนเป็นส่วนราชการภายในขึ้นตรงต่อรัฐมนตรี
ส่วนการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค สาระสำคัญคือ กำหนดเงื่อนไขการแบ่งส่วนราชการเป็นราชการส่วนภูมิภาค ต้องมีภารกิจควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล หรือให้บริการประชาชนที่ไม่ซ้ำซ้อนกับท้องถิ่น ให้คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) ทำหน้าที่แทนคณะกรมการจังหวัด
รวมทั้งเพิ่มบทบาทของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อพบการละเลยไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เพิ่มอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในการแก้ไขปัญหาพิเศษในพื้นที่ และเปิดโอกาสให้ข้าราชการนอกสังกัดกระทรวงมหาดไทยสามารถเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดได้
ด้านการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้มีการปรับปรุงให้จัดระเบียบการปกครองตามหลักการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น
สำหรับ การบริหารราชการ มีการแก้ไขเพิ่มความชัดเจนระหว่าง "การมอบหมาย" กับ "การมอบอำนาจ" โดยให้ผู้มอบอำนาจสามารถมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจได้ทุกตำแหน่ง ไม่เฉพาะข้าราชการ เพิ่มการมอบอำนาจเพื่อการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ รวมถึงปรับปรุงให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีสามารถแต่งตั้งข้าราชการกระทรวงหนึ่งมารักษาราชการแทนปลัดกระทรวงอีกกระทรวงหนึ่งได้ ในกรณีที่ข้าราชการผู้นั้นรอรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
นอกจากนี้ยังแก้ไขในส่วนของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ด้วยการยกเลิกเงื่อนไขการทำงานของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดการปฏิบัติหน้าที่และค่าตอบแทน
สำนักงาน ก.พ.ร. ระบุว่า ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ฉบับใหม่ จะทำให้การจัดตั้ง รวม หรือโอนส่วนราชการจะมีความยืดหยุ่น คล่องตัว ลดภาระด้านเวลาและงบประมาณ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้และการจัดระเบียบราชการใหม่จะช่วยให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกัน วิธีการบริหารงานภายในส่วนราชการที่ปรับปรุงใหม่จะช่วยขจัดอุปสรรคในการปฏิบัติงานและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน