KEY
POINTS
คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2568 ได้พิจารณามาตรการส่งเสริมออมของประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินรองรับสังคมสูงอายุผ่านบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Savings Account) หรือ โครงการ 'TISA' ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เสาหลักเศรษฐกิจ ภายใต้ชุดนโยบาย 'Quick Big Win'
TISA คือ บัญชีเงินออมเพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นไทยรายตัวได้เองและนำไปลดหย่อนภาษีได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกองทุนรวมอย่าง RMF หรือ SSF แบบเดิมๆ ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่าน กระทรวงการคลังได้เพิ่มเติมการหักลดหย่อนภาษีจาก 500,000 บาทเป็น 800,000 บาท สำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสมและเงินค่าซื้อหน่วยลงทุน
สามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 กรณี คือ กรณีผู้มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ให้หักลดหย่อนได้ 1.3 เท่า สูงสุดไม่เกิน 1.04 ล้านบาท ต่างจากปัจจุบันหักลดหย่อนได้ 1 เท่า และกรณีมีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาท ให้หักลดหย่อนได้ 0.7 เท่า หรือสูงสุดไม่เกิน 560,000 บาท โดยเงินลดหย่อนสูงสุดนี้ยังนับว่า สูงกว่าปัจจุบันที่ให้ลดหย่อนได้ 500,000 บาท
สำหรับหุ้นที่ออมใน TISA สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจริง ไม่เกิน 800,000 บาท ซึ่งเป็นวงเงินเดียวกับการลงทุนอย่างอื่นที่ลดหย่อนได้ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. ประกันบำนาญ RMF ThaiESG
ทั้งนี้ ผู้มีเงินได้ต้องถือหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหลักทรัพย์ใน TISA ครั้งแรกไถ่ถอนหลักทรัพย์เมื่อผู้มีเงินได้อายุไม่ตํ่ากว่า 55 ปีบริบูรณ์
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การกำหนดเพดานการลดหย่อนภาษีรวมทุกรายการไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี เพื่อลดความเหลื่อมลํ้า เนื่องจากที่ผ่านมา คนรวยมักได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีมากกว่า
และการให้ผู้มีรายได้ตํ่ากว่า 1.5 ล้านบาท ได้ลดหย่อนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่ 11.4 ล้านคน จะได้ประโยชย์จากส่วนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุ และมีแหล่งระดมเงินออมมากขึ้น มีเงินเข้าตลาดทุนมากขึ้น
สำหรับปี 2568 กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายเทศกาลลดหย่อนภาษีแล้ว ซึ่งนักลงทุนจำนวนมากกำลังมองหากองทุนเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งกองทุน Thai ESG และ RMF ที่ช่วยลดภาระภาษีได้อย่างมีนัยสำคัญ
การเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจกันได้ง่าย เพราะนอกจากจะต้องคำนึงถึงผลตอบแทนที่คาดหวังแล้ว ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ ระยะเวลาการลงทุนที่มีข้อผูกมัดแตกต่างกัน รวมถึงเป้าหมายทางการเงินในอนาคตของแต่ละบุคคล
นายกฤช โคมิน CFA. Head of Wealth Product & Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ควรมองเพียงแค่ประโยชน์ด้านภาษีเพียงอย่างเดียว
“แต่ควรมองเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการเงินระยะยาวด้วย โดยเฉพาะกองทุน RMF ที่ออกแบบมาเพื่อการเกษียณ และควรเลือกด้วยความรอบคอบและสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของตนเอง”นายกฤชกล่าว
รวมทั้งสำหรับนักลงทุนกลุ่ม High Net Worth ที่มีฐานภาษีในระดับสูง ในโค้งสุดท้ายปี 2568 นี้ สามารถวางแผนการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุดรวมกันถึง 8 แสนบาท ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการบริหารภาษีและสร้างพอร์ตการลงทุนระยะยาวไปพร้อมกัน
แม้จะมีกองทุนให้เลือกมากมาย แต่ถ้าเข้าใจหลักการเลือกที่ถูกต้อง ก็จะสามารถตัดสินใจได้ไม่ยาก การเลือกกองทุนที่เหมาะสมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถถือครองกองทุนได้ในระยะยาวโดยไม่กังวลจนเกินไป และยังเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีตามเป้าหมายที่วางไว้
กองทุน Thai ESG
กองทุน RMF
ผู้ลงทุนควรเริ่มวางแผนภาษีและทยอยซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ อย่ารอจนถึงวันสุดท้ายของปีแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะหากลงทุนไม่ทัน อาจพลาดโอกาสรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีนี้ไปได้ โดยสามารถซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี RMF และ Thai ESG ได้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต กองทุนที่มีความเสี่ยงระดับสูง (ระดับ 6-8) มีความผันผวนสูงมาก โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกคน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลกองทุน ทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน และประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง