KEY
POINTS
เมื่อบริษัทใหญ่อย่าง บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศใช้สิทธิ "ปิดงานงดจ้าง" ต่อสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรีและสมาชิกสหภาพฯ ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2568
ประชาชนจำนวนมากต่างเข้าใจผิดว่านี่คือการ เลิกจ้าง หรือ ไล่ออก พนักงานที่เกี่ยวข้อง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การปิดงาน (Lockout) ในทางกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ถือเป็นเพียง "การหยุดทำงานชั่วคราว" และมีความแตกต่างจากการเลิกจ้างอย่างมีนัยสำคัญ
เรื่องราวของการปิดงานงดจ้างนี้มีต้นตอมาจากข้อพิพาทแรงงาน 2 ฉบับที่บริษัทฯ และสหภาพแรงงานไม่สามารถตกลงกันได้
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องโบนัสและสิทธิพิเศษ ที่มีหลายเงื่อนไขและหลายข้อเสนอ แต่ตกลงกันไม่ได้
หนึ่งในนั้นคือ "ข้อเสนอโบนัสจากบริษัทฯ" คือ 5 เดือน บวกเงินเพิ่ม 12,000 บาท ซึ่งน้อยกว่าที่เคยได้รับในปีที่ผ่านมา แม้บริษัทจะมีกำไรสูงเกือบ 6,000 ล้านบาท
ในขณะที่ข้อเรียกร้องล่าสุดในการเจรจาครั้งที่ 10 ของสหภาพฯ คือโบนัส 8 เดือน บวก 24,000 บาท และ ทองคำ 3 บาท
แกนหลักของดราม่าที่สำคัญยิ่งกว่าโบนัสคือ การที่บริษัทเสนอเงิน 40,000 บาท เพื่อทดแทนสิทธิทองคำ 3 บาท ซึ่งเคยระบุไว้ใน "สัญญาจ้างรุ่นเก่า" ของพนักงานอายุงาน 10 ปีขึ้นไป ที่มีเงื่อนไขว่าต้องลางานได้เฉพาะลาพักร้อนเท่านั้น
พนักงานส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าเงิน 40,000 บาท ลดลงจากมูลค่าทองคำที่ระบุในสัญญา และถือว่าบริษัท "ผิดสัญญาที่ให้ไว้ตั้งแต่เริ่มงาน"
ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบข้อมูลจากนักกฎหมายแรงงาน ช่วยคลี่ปม คำว่า "ปิดงาน" กับ "เลิกจ้าง" ต่างกันอย่างไร
ข้อมูลที่ได้คือ การที่นายจ้างจะใช้สิทธิ "ปิดงานงดจ้าง" ได้นั้น ไม่ใช่การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในทันที แต่ต้องผ่าน "กระบวนการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด" ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 คือ
1. เกิดข้อเรียกร้องและเจรจา: ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจะต้องมีผลผูกพันคู่กรณีตามมาตรา 21 เมื่อเกิดข้อเรียกร้อง (เช่น ข้อเรียกร้องโบนัสและทองคำ) และไม่ได้รับการยอมรับ จะนำไปสู่การไกล่เกลี่ยของพนักงานประนอมข้อพิพาทตามมาตรา 22
2.ข้อพิพาทที่ไม่สามารถตกลงกันได้: ในกรณีของไดกิ้น การเจรจาไกล่เกลี่ยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในข้อพิพาททั้งสองฉบับได้ เมื่อการไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ และไม่มีการตกลงตั้ง "ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน" ข้อพิพาทนั้นจะถือเป็น “ข้อพิพาทแรงงานที่ไม่สามารถตกลงกันได้”
เงื่อนไขนี้เองที่เปิดโอกาสให้นายจ้างใช้สิทธิปิดงาน หรือลูกจ้างใช้สิทธินัดหยุดงาน ได้
3.การแจ้งล่วงหน้า: ก่อนการใช้สิทธิปิดงาน นายจ้างต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและอีกฝ่ายหนึ่ง (สหภาพแรงงาน) ทราบล่วงหน้า ไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ตามมาตรา 34 วรรคสอง
การปิดงานตามมาตรา 5 พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ถูกนิยามว่า คือการที่ นายจ้างไม่ยอมให้ลูกจ้างทำงานชั่วคราว เนื่องจากข้อพิพาทแรงงาน
สิ่งสำคัญที่ประชาชนต้องเข้าใจคือ การปิดงานของนายจ้าง ไม่ใช่การเลิกจ้าง แต่เป็นการใช้สิทธิเพื่อตอบโต้ลูกจ้างในกรณีที่ข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้นและไม่สามารถตกลงกันได้
1.สถานะการจ้าง: เมื่อนายจ้างดำเนินการปิดงานโดยชอบด้วยกฎหมาย การจ้างแรงงานยังคงอยู่ การปิดงานเป็นเพียงการหยุดทำงานชั่วคราว ไม่ได้เป็นการเลิกจ้าง
2.ค่าจ้าง: ผลที่ตามมาคือ นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง ให้แก่ลูกจ้างในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากสัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้เพราะการใช้สิทธิปิดงานของนายจ้างโดยชอบด้วยกฎหมาย นายจ้างจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในช่วงเวลานั้น
3.ความรับผิดชอบหากผิดกฎหมาย: อย่างไรก็ตาม หากการปิดงานนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หรือปิดงานโดยที่ยังไม่มีข้อพิพาทที่ตกลงกันไม่ได้ นายจ้างอาจต้องรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในช่วงที่ปิดงานนั้นได้ในลักษณะของค่าเสียหาย
นอกจากนี้ หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเห็นว่าการปิดงานนั้นอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนของประชาชน หรือส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ รัฐมนตรียังมีอำนาจตามมาตรา 35 (3) จัดให้บุคคลอื่นเข้าทำงานแทนลูกจ้างซึ่งมิได้ทำงานเพราะการปิดงานได้
การปิดงานจะยุติลงเมื่อข้อพิพาทแรงงานได้รับการระงับแล้ว ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี
เช่น ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ หรือทั้งสองฝ่ายตกลงตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา 26 เมื่อบรรลุข้อตกลง นายจ้างก็จะประกาศยกเลิกการปิดงาน
กล่าวโดยสรุป "ปิดงานไม่ใช่เลิกจ้าง" แต่เป็นกระบวนการต่อสู้ทางกฎหมายที่ถูกต้องของฝ่ายนายจ้าง ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับค่าจ้างจนกว่าข้อพิพาทจะถูกระงับ
การดำเนินการดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ เพื่อให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายกลับมาสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้ง
และท้ายที่สุด ข้อพิพาทนี้ก็จะจบลงเมื่อฝ่ายที่ "อึดกว่าคนนั้นชนะ"