เอกชนแนะ 4 ข้อก่อนรัฐปรับขึ้นภาษี VAT ทำอย่างโปร่งใส-ดูภาวะเศรษฐกิจ

26 พ.ย. 2568 | 00:11 น.

ส.อ.ท.เสนอแนะ 4 ข้อต่อภาครัฐ หลังทีแผนปรับขึ้นภาษี VAT ระบุต้องชี้แจงความจำเป็นอย่างโปร่งใส ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ดูภาวะเศรษฐกิจแต่ละช่วง

KEY

POINTS

  • รัฐบาลควรชี้แจงความจำเป็นในการขึ้นภาษีอย่างโปร่งใส พร้อมปฏิรูปงบประมาณเพื่อลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและ SMEs
  • การปรับขึ้นภาษีควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ปรับขึ้นครั้งละ 1% เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน
  • ต้องพิจารณาภาวะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวหรือขยายตัวต่ำ ควรชะลอแผนการปรับขึ้นภาษีออกไปก่อน
  • ควรพิจารณาแนวทางการขยายฐานภาษี โดยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบมากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐในระยะยาว

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นที่รัฐบาลมีแผนปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวต (VAT) โดยมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ว่า  

  • รัฐควรปรับโครงสร้างรายจ่ายงบประมาณใหม่ มีการชี้แจงถึงความจำเป็นในปรับอัตราภาษี VAT อย่างโปร่งใสให้แก่ประชาชนและมีการปฏิรูประบบงบประมาณเพื่อลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและนำงบประมาณไปสนับสนุนการพัฒนาประเทศเป็นหลัก รวมทั้ง มีมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและ SMEs
  • การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ควรเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่ประกาศล่วงหน้า เช่น ขึ้น 1% ก่อนแล้วหาจังหวะในอนาคตขึ้นทีละ 1%

เอกชนแนะ 4 ข้อก่อนรัฐปรับขึ้นภาษี VAT ทำอย่างโปร่งใส-ดูภาวะเศรษฐกิจ

  • ควรพิจารณาภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาของแผนปรับขึ้นอัตราภาษี VAT หากสภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว หรือตัวเลข GDP ขยายตัวต่ำ ก็ควรชะลอแผนการปรับขึ้น VAT ออกไปก่อน
  • ควรพิจารณาแนวทางการขยายฐานภาษีให้เพิ่มมากขึ้น โดยมีมาตรการจูงใจให้สถานประกอบการเข้ามาอยู่ในระบบภาษี ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐในระยะยาว

นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยได้ถูกนำมาใช้แทนภาษีการค้าตั้งแต่ปี 2535 โดยมีลักษณะที่สำคัญ คือ รัฐบาลจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการบริโภคสินค้าในอัตราเดียวซึ่งเดิมกฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 10% 

แต่ภายหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 รัฐบาลในขณะนั้นได้พยายามแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงที่ต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจโดยมีการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มลงเหลือ 7% และมีกำหนดเวลาที่จะปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในภายหลัง แต่ในปัจจุบันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มก็ยังไม่ได้ถูกปรับขึ้นแต่อยางใด

ซึ่งแต่ละปี ภาครัฐจะออกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ การคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจริง 7% เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในช่วงภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน