KEY
POINTS
สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลาและอำเภอหาดใหญ่ ยังคงอยู่ในภาวะวิกฤติรุนแรงจากผลกระทบของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่มีกำลังแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางการระดมกำลังบรรเทาทุกข์อย่างหนักจากทุกหน่วยงาน ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ณช่วงเช้า วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ชี้ให้เห็นว่าวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ได้ก่อความเสียหายเป็นวงกว้างใน 9 จังหวัดภาคใต้ โดยมีผู้เสียชีวิตรวม 13 ราย ในขณะที่อำเภอหาดใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียงต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยังคง มีระดับน้ำเพิ่มขึ้น
จังหวัดสงขลาเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยมีรายงานว่าน้ำไหลหลากเข้าท่วมใน 16 อำเภอ รวม 115 ตำบล 821 หมู่บ้าน และ 167 ชุมชน จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบในสงขลารวมสูงถึง 243,568 ครัวเรือน หรือกว่า 625,063 คน นอกจากนี้ ยังมีรายงานความเสียหายต่อสถานที่ราชการ (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) 1 แห่ง และถนน 6 สาย
ตัวเลขปริมาณน้ำฝนสะสมในช่วง 24 ชั่วโมงในอำเภอรัตภูมิของสงขลาอยู่ที่ 528.5 มม. ซึ่งแสดงถึงปริมาณฝนที่ตกหนักเป็นพิเศษ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ได้มีการจัดตั้ง ศูนย์พักพิงชั่วคราว 5 จุด เพื่อรองรับผู้ประสบภัยรวม 1,224 คน หน่วยงานต่าง ๆ ได้ระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะด้านการขนย้ายผู้ประสบภัย ได้มีการสนับสนุนเรือท้องแบนถึง 30 ลำ ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ รวมถึงรถยกสูงและเรือเจ็ตสกี 3 ลำ จากมูลนิธิร่วมกตัญญู
สำหรับการเร่งระบายน้ำ มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่รวม 74 เครื่อง จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 8 และสำนักงานชลประทานที่ 16 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามเหล่านี้ ระดับน้ำในสงขลายังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
แม้สถานการณ์ที่หาดใหญ่จะรุนแรง แต่ นายศศิน เฉลิมลาภ นักวิชาการอิสระและกรรมการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว "ศศิน เฉลิมลาภ" ย้ำว่าปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากในประเทศไม่ใช่แค่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เป็น “การล่มสลายเชิงสถาบัน (Institutional Collapse)” ในระบบบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย
นายศศินยอมรับว่าไม่ทราบข้อมูลรายละเอียดเฉพาะของพื้นที่หาดใหญ่มากนัก เนื่องจากไม่ใช่พื้นที่ที่เคยทำงาน แต่ข้อเสนอแนะของเขามุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของรัฐบาล พร้อมกับวิเคราะห์ว่า การล่มสลายเชิงสถาบันนี้เกิดจาก 3 แรงที่ชนกันแบบครบสูตร ซึ่งสั่งสมมาเป็นสิบปีและมาถึงจุดวิกฤต:
การเมืองแทรกซึมงานเทคนิค: มีการเมืองเข้ามาแทรกซึมในระบบราชการระดับผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคได้ขึ้นมาควบคุมงาน ซึ่งส่งผลให้การพยากรณ์และการบัญชาการน้ำเกิดความผิดพลาดตั้งแต่ต้นทาง
การกีดกันคนรู้จริง: คนที่มีความรู้ความสามารถหรือรู้จริงเกี่ยวกับระบบน้ำถูกกันออกไป และไม่ได้อยู่ในโต๊ะตัดสินใจ ผลลัพธ์คือ เมื่อถึงนาทีวิกฤติ การตัดสินใจก็จะผิดพลาดซ้ำแบบเดิมทุกปี ปัญหานี้สืบเนื่องมาจากปัญหาการเมืองที่มีผลประโยชน์จากการซื้อขายตำแหน่งผู้บริหารในหน่วยราชการ
ระบบข้อมูลและบัญชาการที่ล้าหลัง: ระบบที่ใช้ในการบริหารจัดการน้ำและข้อมูลยังคงล้าหลังถึง 10–20 ปี ทำให้เกิดการเตือนภัยที่ล่าช้า และการระบายน้ำที่ไม่ตรงตามจังหวะ นำไปสู่การท่วมซ้ำและเกิดความเสียหายซ้ำ ทั้งที่ควรจะสามารถรู้ล่วงหน้าได้
นายศศินได้วาดภาพของสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นใน “รัฐสมัยใหม่” เพื่อรับมือกับวิกฤติความมั่นคงของประเทศ:
นายกรัฐมนตรี: ต้องอยู่ประจำที่ War Room กลางของ สทนช. (สำนักงานใหญ่) ตลอด 24 ชั่วโมง ในฐานะประธานและผู้นำด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีควรดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ชุดเดียวกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน และ ปภ. หน้าที่หลักคือการบัญชาการ ไม่ใช่การลงพื้นที่เพื่อถ่ายรูป ถือเสื้อฝน หรือเดินลุยน้ำโชว์กล้อง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร (รมว.เกษตร): ไม่จำเป็นต้องลงไปตากฝน แต่ควรบัญชาการกรมชลประทานจาก War Room โดยมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญวางแผนการสั่งเปิด–ปิดประตูน้ำตามโมเดลคำนวณ และส่ง “Field Command Unit” ของกรมชลฯ ลงพื้นที่แทน
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายน้ำ (รองนายกโสภณ): บทบาทที่เหมาะสมคือการเป็นผู้ประสานงานภาคสนามเชิงนโยบาย เพื่อเคลียร์จุดคอขวด เช่น ถนนที่ทำหน้าที่เป็นเขื่อน การสั่งปิดประตูน้ำโดยไร้เหตุผล หรือการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างหน่วยงานชลประทานกับเทศบาล ไม่ใช่การลงไปยืนบริจาคถุงยังชีพ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รมต.ภารดร): ควรเป็น คนสื่อสารหลักของประเทศ โดยการไลฟ์สรุปสถานการณ์วันละ 2 ครั้ง เพื่ออธิบายสถานการณ์ ระบุว่าอะไรจะท่วมเพราะเหตุใด กำลังมีการระบายอย่างไร และจะดีขึ้นเมื่อใด เพื่อลดความสับสน ข่าวปลอม และแจ้งประชาชนว่ารัฐกำลังทำอะไรและต้องการความร่วมมืออะไร
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันกลับเป็นตรงกันข้าม คือ ผู้นำลงพื้นที่พร้อมกล้อง ทำให้เสียเวลาบัญชาการ ไม่มี War Room ทำให้การตัดสินใจขาดข้อมูลเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญไม่ถูกนำมาใช้ และการสื่อสารตกอยู่ในมือของหน่วยงานย่อย ทำให้ขาดเอกภาพ ส่งผลให้ระบบน้ำล้มเหลวซ้ำทุกปี
นอกจากปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน นายศศินยังเตือนถึงปัจจัยภายนอก คือ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะ อภิมหาลานิญา (Mega La Niña) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก นายศศินระบุว่า ภาวะนี้จะทำให้มีโอกาสเกิดเหตุการณ์ที่ยากจะคาดเดาไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคใต้