‘ทีดีอาร์ไอ’ หนุนปรับขึ้น VAT 8.5% ช่วยปรับสมดุลงบประมาณขาดดุล

22 พ.ย. 2568 | 05:24 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2568 | 05:24 น.

‘ทีดีอาร์ไอ’ ออกโรงหนุนรัฐบาลปรับขึ้น VAT 8.5% ช่วยปรับสมดุลงบประมาณขาดดุล เพิ่มสวัสดิการให้ประชาชน แนะเริ่มทันทีไม่ต้องรอพร้อม

KEY

POINTS

  • ทีดีอาร์ไอเสนอให้รัฐบาลปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัว เนื่องจากเป็นประเด็นที่ค้างคามานานตั้งแต่สมัยวิกฤตต้มยำกุ้ง
  • การปรับขึ้นภาษีจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อนำมาแก้ไขปัญหางบประมาณขาดดุลที่เกิดจากการใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก
  • นักวิชาการเชื่อว่าผลกระทบต่อประชาชนจะมีน้อย และรัฐบาลยังมีเครื่องมืออื่น ๆ ในการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจได้

นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ (TDRI) เปิดเผยถึงประเด็นเรื่องการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวต (VAT) ที่รัฐบาลมีแนวคิดจะปรับขึ้นจาก 7% ในปัจจุบัน เป็น 8.5% ในปี 2571และเพิ่มเป็น 10% ในปี 2573 โดยมองว่ารัฐบาลไม่ต้องรอเวลาและรอให้เศรษฐกิจดี สามารถปรับขึ้นได้ในทันที 

ทั้งนี้ เนื่องจากภาษีแวตเป็นเรื่องค้างคามานานแล้ว นับจากช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่รัฐบาลได้ปรับลดภาษีแวตจาก 10% เหลือ 7% เพื่อพยุงเศรษฐกิจ แต่หลังจากนั้นไม่มีรัฐบาลไหนที่จะกลับไปเก็บแวตที่ 10% ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะฟุบจะฟื้นมาหลายรอบ ซึ่งตามหลักการแล้วรัฐบาลควรจะต้องปรับขึ้นมานานแล้ว

โดยการเก็บภาษีแวตเพิ่มจะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อมาช่วยปรับสมดุลงบประมาณขาดดุล หลังจากที่ในแต่ละปีรัฐบาลได้มีการนำงบประมาณไปใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล นอกจากนี้ยังสามารถนำเงินบางส่วนไปใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆได้ เช่น การเพิ่มสวัสดิการให้กับประชาชน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการขึ้นภาษีแวตในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ อาจจะกระทบต่อประชาชน แต่ต่อให้มีปัญหาเชื่อว่ารัฐบาลมีเครื่องมืออีกมากที่จะมาแก้ปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงมองว่าการเก็บภาษีแวตเพิ่มจะมีผลกระทบน้อย

“หากรัฐบาลยังอ้างว่าเศรษฐกิจยังไม่ดี รอให้เศรษฐกิจดี จะทำให้กลับไปติดกับดักเดิมๆ หากไม่เริ่มวันนี้ จะไม่มีวันได้เริ่ม รอให้พร้อมก็ไม่ต่างจากทุกรัฐบาลที่ผ่านมา สุดท้ายไม่มีรัฐบาลไหนกล้าขึ้น”

นายนณริฏ กล่าวอีกว่า ตนไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะมีการออกโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 เนื่องจากมองว่าปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจไทยค่อยๆฟื้นกลับมาแล้ว จากการที่รัฐบาลอัดเม็ดเงินหลายแสนล้านบาทกระตุ้นไปก่อนหน้านี้ ทั้งโครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวคนละครึ่ง เที่ยวดีมีคืน 

รวมถึงการแก้หนี้รายย่อยต่ำ 100,000 แสนบาท โดยต้องการให้รัฐบาลเตรียมกระสุน สำหรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่า เช่น มาตรการช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น

ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่าพร้อมยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ ก่อนกำหนดเดิมวันที่ 31 มกราคม 2569 หรือ 1 เดือน มองว่าในแง่เศรษฐกิจ ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะยุบสภาเดือนธันวาคมหรือเดือนมกราคม เพราะห่างกันแค่ 1 เดือน แต่อาจจะทำให้การเจรจาการค้าบางเรื่องล่าช้าไปบ้าง เช่น การเจรจาการค้าภาษีทรัมป์ แต่เป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่หากมองในแง่ของการเมือง คงจะมีผลกระทบพอสมควร เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นต้น