นายกฯประกาศ 'ปราบสแกมเมอร์' เป็นวาระชาติ ลั่นไม่มียกเว้น–ไม่มีเคลียร์

10 พ.ย. 2568 | 08:18 น.
อัปเดตล่าสุด :10 พ.ย. 2568 | 08:36 น.

อนุทิน ชู 'ปราบสแกมเมอร์' วาระแห่งชาติ เดินเครื่อง United Thailand Against Scammers ประกาศชัด 'ไม่มีข้อยกเว้น–ไม่มีเคลียร์' พร้อมคืนเงินเหยื่อเพิ่ม 15 ล้าน ยึดคริปโต–ทรัพย์เครือข่ายข้ามชาติรวมกว่า 400 ล้าน ชวนคนไทยยึด "ไม่เชื่อ-ไม่รีบ-ไม่โอน"

KEY

POINTS

  • นายกรัฐมนตรีประกาศให้การปราบปรามสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็น "วาระแห่งชาติ"
  • ยืนยันจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทุกคนอย่างเด็ดขาด โดยประกาศนโยบาย "ไม่มีข้อยกเว้น-ไม่มีการเคลียร์" แม้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
  • ปรับยุทธศาสตร์จาก "ตั้งรับ" เป็น "รุกไล่" โดยร่วมมือกับ 15 หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนเพื่อตัดเส้นทางการเงินของอาชญากร
  • เตือนประชาชนให้ยึดหลัก "3 ไม่" (ไม่เชื่อ-ไม่รีบ-ไม่โอน) และยืนยันว่าไทยจะไม่ยอมเป็นศูนย์กลางของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันนี้ (10 พ.ย. 2568) เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุม “แจ้งยอดสุข” อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดปฏิบัติการ “United Thailand Against Scammers” พร้อมมอบนโยบายการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ภายในงานมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, นายนฤชา โฆษาศรีวิไลซ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย รวมถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภาคีเครือข่ายเอกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

นายอนุทินและคณะผู้บริหารได้ยืนสงบนิ่งน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก่อนเข้าสู่ “War Room” จำลองการปฏิบัติงานแบบเรียลไทม์ของเจ้าหน้าที่

เหตุการณ์จำลองมาจากกรณีผู้เสียหายถูกหลอกให้เปิดร้านค้าออนไลน์ผ่าน Facebook แล้วถูกดึงเข้ากลุ่ม Line ให้โอนเงินผ่าน 9 บัญชี มูลค่าเสียหาย 700,000 บาท เจ้าหน้าที่ประสานแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Facebook, Line และธนาคารผู้ให้บริการ e-wallet เพื่ออายัดบัญชีและสืบสวน พบพยานหลักฐานจากกล้อง ATM และระบบวิเคราะห์ใบหน้า นำไปสู่การจับกุมผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด รวมถึงผู้ต้องหาชาวต่างชาติที่ส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบตรวจคนเข้าเมือง

นายกฯประกาศ 'ปราบสแกมเมอร์' เป็นวาระชาติ ลั่นไม่มียกเว้น–ไม่มีเคลียร์

การดำเนินคดีใช้ 3 ข้อหาหลัก ได้แก่

  • ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
  • อาชญากรรมข้ามชาติ
  • ความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน

พร้อมประสานตำรวจสากล (Interpol) และ FBI ขอหมายแดงส่งผู้ร้ายข้ามแดน ขณะเดียวกันสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะสรุปข้อมูลรายวันและเผยแพร่คอนเทนต์เตือนภัยเวลา 09.00 น. เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ

นายกฯประกาศ 'ปราบสแกมเมอร์' เป็นวาระชาติ ลั่นไม่มียกเว้น–ไม่มีเคลียร์

คืนเงินเหยื่อเพิ่ม 15 ล้าน ผ่านโครงการ Money Cash Back

จากนั้น นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ร่วมมอบเช็คคืนเงินผู้เสียหาย 33 ราย รวมมูลค่า 15 ล้านบาท ภายใต้โครงการ “Money Cash Back” ซึ่งเป็นเงินที่ถูกหลอกลวงทางออนไลน์และสามารถติดตามคืนได้จากความร่วมมือของสถาบันการเงิน โดยตลอดปีที่ผ่านมาสามารถติดตามคืนได้รวมกว่า 312 ล้านบาท

นายกรัฐมนตรียังได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลการปฏิบัติงานของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และภาคีเอกชน เช่น AIS, True Money, Line Corporation รวมถึงแอปพลิเคชัน “Cyber Check” ระบบตรวจสอบเส้นทางสแกมเมอร์แบบเรียลไทม์ โดย ผศ.ดร.ณัฐพร กาญจนภูมิ คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร มอบดอกไม้ขอบคุณรัฐบาล หลังเจ้าหน้าที่สามารถช่วยนักศึกษาปี 3 ที่ถูกหลอกให้โอนเงิน 830,000 บาทไว้ได้ทัน

แถลงผลปราบสแกมเมอร์–เปิดแนวนโยบายใหม่

จากนั้นเวลา 11.15 น. นายอนุทินแถลงข่าวผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะผู้บริหารร่วมฟัง

นายกฯประกาศ 'ปราบสแกมเมอร์' เป็นวาระชาติ ลั่นไม่มียกเว้น–ไม่มีเคลียร์

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สามารถ ยึดคริปโตเคอร์เรนซีจากกลุ่มแฮกเกอร์ต่างชาติได้สำเร็จ ด้วยความร่วมมือจากบริษัท Binance มูลค่ากว่า 14 ล้านบาท และทลายเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ “ลี ยงพัด” ตรวจค้น 36 จุดทั่วประเทศ ยึดทรัพย์กว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นความสำเร็จเชิงรูปธรรมของการบูรณาการข้อมูลระหว่างประเทศ

นายกฯ ประกาศ “ไม่มีข้อยกเว้น–ไม่มีเคลียร์”

นายอนุทินกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์เป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาล เพราะกระทบทั้งประชาชนและความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน จึงประกาศให้การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็น “วาระแห่งชาติ” และแต่งตั้ง “คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

รัฐบาลได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ 15 หน่วยงานหลัก ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการเงิน เพื่อ “อุดช่องโหว่–ตัดเส้นทางการเงิน” ของกลุ่มอาชญากร โดยปรับยุทธศาสตร์จากการ “ตั้งรับ” มาเป็น “รุกไล่” ผลงานที่ผ่านมาเห็นได้ชัด ทั้งการอายัดทรัพย์หลายหมื่นล้านบาท เพิกถอนวีซ่า ผลักดันต่างชาติออกนอกประเทศ รวมถึงเพิกถอนสัญชาติและปิดบัญชีม้าเป็นจำนวนมาก

“ผมทราบดีว่าประชาชนยังมีคำถามว่าในเครือข่ายนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ และย้ำว่า เรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ ไม่มีการเคลียร์ ถ้ามีชื่อใครปรากฏ ต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างเต็มที่ และขอให้แจ้งข้อมูลผ่านช่องทางที่ถูกต้องเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้ทันท่วงที

ย้ำแนวคิด “3 ไม่” ไทยจะไม่ยอมเป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์

นายกรัฐมนตรีเตือนประชาชนให้ยึดหลัก “ไม่เชื่อ – ไม่รีบ – ไม่โอน” เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะกรณีมีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐส่งลิงก์ให้กรอกข้อมูล ให้สันนิษฐานทันทีว่าเป็นมิจฉาชีพ เพราะเมื่อได้ข้อมูลยืนยันตัวตนแล้ว จะสามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารและถอนเงินได้ภายในไม่กี่นาที

“ประเทศไทยจะไม่ยอมให้กลายเป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์ เราไม่มีสแกมเมอร์ในประเทศ เพราะผู้รักษากฎหมายของไทยไม่ยินยอมให้เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ แต่เราต้องกดดันและสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้สแกมเมอร์หมดไปจากภูมิภาค” นายอนุทินกล่าว พร้อมทิ้งท้ายว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เมื่อเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายและเพื่อประชาชน”

สถิติภัยสแกมทั่วโลก–ไทยเจอวันละกว่า 3,000 เคส

พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สถานการณ์ “Cyber Scammer” ทั่วโลกสร้างความเสียหายรวมกว่า 1.03 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเอเชียได้รับผลกระทบมากที่สุดถึง 688,000 ล้านดอลลาร์ จีนมีฐานปฏิบัติการใหญ่ในเมืองเล่าก์ก่าย (Laukkaing) จับผู้ต้องหาได้กว่า 5,000 คน (ในจำนวนนี้เป็นคนไทยราว 500 คน) ขณะที่สหรัฐฯ สูญกว่า 12,500 ล้านดอลลาร์ และสิงคโปร์กว่า 1,200 ล้านบาท

ส่วนประเทศไทยตลอด 3 ปี มีคดีสะสมกว่า 1 ล้านเคส ความเสียหายมากกว่า 100,000 ล้านบาท มีเหตุใหม่เฉลี่ยวันละกว่า 3,000 เรื่อง มูลค่าเสียหายกว่า 70 ล้านบาท แนวทางแก้ต้องใช้ทั้ง “การเจรจาระหว่างประเทศ” และ “มาตรการแทรกแซง” เช่น ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า หรือน้ำมัน หากประเทศต้นทางไม่ให้ความร่วมมือ

รัฐบาลมั่นใจเดินหน้า “รวมพลังคนไทยต้านภัยสแกมเมอร์” ต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชนที่ร่วมมือเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัย พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะเดินหน้ารณรงค์ทั่วประเทศผ่านทุกช่องทาง เพื่อให้ “คนไทยรู้เท่าทันสแกมเมอร์” และสามารถ “ปกป้องตนเองได้” อย่างมั่นใจ