นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการเป็นประธาน ประชุมคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย ครั้งที่ 1 ว่า การประชุมดังกล่าว เป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันในการสกัดกั้นธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัยหรือที่เรียกกันว่า“เงินเทา”
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีข้อสรุปที่สำคัญคือการจัดทำ ดาต้าบูโร (Data Bureau) เพื่อเชื่อมโยงและรวบรวมข้อมูลทางการเงินจากหลายหน่วยงานเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลทางการเงินของประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล FATF (Financial Action Task Force on Money Laundering) และมีกำหนดให้ระบบเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนธ.ค.นี้
“การทำงานครั้งนี้เป็นไปในลักษณะการแก้ไขแก้ปัญหาทั้งระบบ โดยคณะทำงานจะใช้กรณีตัวอย่างจริงมาทดลองดูเส้นทางการเงิน เพื่อค้นหาช่องโหว่ของกฎหมาย โดยวางเป้าหมายสิ้นเดือนพ.ย.นี้ จะได้เห็นรูปแบบดาต้าบูโร และภายในธ.ค.68 ไทยต้องดูแลการเงินในระดับมาตรการสากล”
สำหรับดาต้าบูโร จะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาที่ปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ ต่างคนต่างมีข้อมูลและแบบจำลองของตนเองแต่ไม่มีการบูรณาการร่วมกัน โดยจะมุ่งเน้นการตรวจสอบธุรกรรมที่ต้องสงสัยใน 3 หัวใจหลัก ได้แก่
1. การพิสูจน์ตัวตน (Know Your Customer/Profiling) ตรวจสอบว่าบุคคลหรือนิติบุคคลนั้นคือใคร เป็นตัวจริงหรือไม่ หรือเป็นนอมินี แม้ปัจจุบันธนาคารจะมีข้อกำหนด KYC ที่เข้มงวด แต่ตลาดบางประเภท เช่น ทองคำ และคริปโตเคอเรนซี่ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ยังขาดการตรวจสอบที่เข้มงวดนี้
2. พฤติกรรม (Behavior) ตรวจสอบพฤติกรรมแปลกๆ ที่ไม่สอดคล้องกับโปรไฟล์ เช่น นักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจที่มีเงินไหลเข้าออกผิดปกติจากพฤติกรรมที่ควรจะเป็น
3. การเงินไหลเข้าไหลออก (Transaction) ตรวจสอบเส้นทางการเงินผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ผ่าน Exchange หรือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการสรุปช่องทางการเงินที่อาจเป็นพฤติกรรมที่ต้องสงสัย และช่องทางที่ใช้ในการฟอกเงิน ได้แก่
“เราพบว่าธุรกรรมการเงินที่ไหลเข้ามา เป็นธุรกรรมที่ต้องสงสัยมักจะถูกนำไปฟอกผ่านการซื้อทองคำ, การซื้ออสังหาริมทรัพย์, การซื้อรถหรู, หรือการซื้อเพชร เป็นต้น”
ขณะเดียวกัน คณะทำงานตระหนักว่ากฎหมายปัจจุบันของแต่ละหน่วยงาน (เช่น ปปง., แบงก์ชาติ, ก.ล.ต.) มีข้อจำกัด การเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน Data Bureau จึงจำเป็นในกรณีที่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายในการเปิดเผยข้อมูลต่อบุคคลภายนอก เช่น กฎหมาย PDPA และกฎหมายของกรมสรรพากร สามารถใช้ข้อยกเว้นเพื่อประโยชน์สาธารณะมาดำเนินการได้
นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมกำลังเร่งดำเนินการร่างกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่ที่ไม่สามารถใช้กฎหมายปัจจุบันเอื้อมถึง โดยเฉพาะในประเด็นเรื่อง Beneficiary Ownership (การสืบทรัพย์ว่าใครคือเจ้าของที่แท้จริงที่ได้รับประโยชน์) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล หากธุรกรรมนั้นทำโดยบุคคลต่างชาติ หรือเงินไหลออกไปต่างประเทศ หรือเข้าสู่ประเทศที่เป็นสวรรค์ทางภาษี (Tax Heaven) จะต้องใช้กลไกของกฎหมายระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล (FATF) ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล
“คณะทำงานชุดนี้วางเป้าหมายว่าจะกลับมาประชุมเพื่อทบทวนช่องว่างทางกฎหมายและข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยนข้อมูลในอีก 2 สัปดาห์ และมุ่งมั่นให้ประเทศไทยมีระบบการกำกับดูแลธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัยที่ได้มาตรฐานสากลหรือดีกว่านั้น”
ทั้งนี้ การทำงานของดาต้าบูโรเปรียบเสมือนการนำชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายอยู่ในมือของหน่วยงานต่างๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างภาพรวมของธุรกรรมที่ชัดเจน ทำให้สามารถสกัดเส้นทางของเงินที่ผิดกฎหมายได้อย่างครบถ้วน
สำหรับคณะทำงานชุดนี้ ประกอบด้วยการบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายรวมหลายหน่วยงาน ได้แก่