KEY
POINTS
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการเดินหน้านโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ภายใต้ 5 เสาหลักนั้น มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่มแล้ว เดิมคาดว่าจีดีพีไตรมาส 4 ของปี 68 จะเติบโต 0.3% แต่จากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส และโครงการเที่ยวดีมีคืน จึงประเมินว่าจีดีพีไตรมาส 4 จะขยายตัวได้มากกว่า 1%
ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเป็นหนึ่งในนโยบาย 5 เสาหลักที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ ภายใต้ระยะเวลาการบริหารประเทศ 4 เดือน ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยถูกมองว่าเป็นปัญหารากฐานของประเทศมานาน โดยปัจจุบันมีหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน และนอนแบงก์กว่า 4.7 ล้านบัญชี คิดเป็นวงเงิน 1.22 แสนล้านบาท
นายเอกนิติ กล่าวว่า ภายในเดือนนี้จะเริ่มดำเนินการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขึ้นมาเอง ไม่ได้ใช้บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) เข้ามาบริหารจัดการ เนื่องจากหนี้เกษตรกรมีพฤติกรรมเฉพาะเจาะจง ทั้งนี้ เพื่อจัดการหนี้ของเกษตรกรประมาณ 100,000 ราย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7,000–8,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการแก้ไขหนี้ครัวเรือนในเฟสที่สอง
สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนเฟสแรก รัฐบาลใช้ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) ดึงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของคนตัวเล็กตัวน้อยที่มีวงเงินต่ำกว่า 100,000 บาท ที่เป็นหนี้ไม่มีหลักประกันออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ โดยมีเป้าหมาย 2 ล้านคน มูลค่าหนี้รวม 60,000 ล้านบาท ครอบคลุมหนี้บัตรเครดิตจากธนาคารพาณิชย์, นอนแบงก์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคาร, และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFI)
“การบริหารหนี้เสียผ่าน AMC จะทำการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับฐานะลูกหนี้ เช่น การลดต้น, ยืดอายุการผ่อน และหัวใจสำคัญคือการทำให้ลูกหนี้กลับมามีชีวิตใหม่และเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้อีกครั้ง โดยจะมีการเปิดระบบเครดิตบูโร (NCB) เพื่อให้เข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้”
นอกจากนี้ นายเอกนิติ ยังกล่าวถึงปัญหาสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำคือการลงทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในอดีตการลงทุนเคยสูงถึง 40-50% ของจีดีพี แต่ปัจจุบันเฉลี่ยต่ำกว่า 25% เนื่องจากข้อจำกัดด้านฐานะการคลังและหนี้สาธารณะ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนี้จะใช้เครื่องมือทางการเงินที่ไม่เป็นหนี้สาธารณะ เช่น การใช้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ดึงดูดนักลงทุนด้านพลังงานสะอาด หรือ ESG
ขณะเดียวกัน เนื่องจากสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะเพื่อให้คนจำนวนน้อยลงสามารถทำงานได้เก่งขึ้น โดยจะเน้นการฝึกอบรมในสาขาที่โลกอนาคตต้องการ เช่น Data Center, นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ยานยนต์ EV/Hybrid, Smart Farming, Food Processing, และ Medical Hub เป็นต้น
“เราจะใช้เงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถที่มีอยู่ 10,000 ล้านบาท โดยไม่ใช้เงินใหม่ เน้นการฝึกอบรมตามความต้องการ (Demand-side) ของบริษัทที่ได้รับใบอนุญาต BOI เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ได้รับการอบรมจะไม่ตกงาน โดยตั้งเป้าหมายฝึกอบรม 100,000 คน ภายใน 4 เดือน”
ทั้งนี้ รัฐบาลจะใช้แนวทาง "Fast Pass" เพื่อปลดล็อกโครงการลงทุนที่ค้างอยู่ของ BOI ซึ่งมีมูลค่ารวมสูงถึง 470,000 ล้านบาท พร้อมตั้งชุดกิโยติน เพื่อตัดกฎหมายหรือกฎกติกาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน