KEY
POINTS
วันนี้ (3 พฤศจิกายน 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ หรือครม.เศรษฐกิจ เห็นชอบแนวทาง มาตรการ และโครงการของกระทรวงพาณิชย์ภายใต้นโยบาย Quick Big Win
ทั้งนี้เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์ ในการรับมือกับมาตรการภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ โดยสามารถรักษาตลาดส่งออกไปสหรัฐฯ สกัดปัญหาการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า เพิ่มการใช้ Local content ตลอดจนป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
โดยกระทรวงพาณิชย์จึงได้จัดทำแนวทางและมาตรการต่าง ๆ ดังนี้
1.โครงการเพิ่ม LOCAL CONTENT ไทย เพื่อรองรับการปรับปรุงกฎถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ของสหรัฐฯ และรักษาความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ
2.มาตรการตรวจสอบนิติบุคคล (นอมินี) ทั้งนี้ ปัญหานอมินีส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศ แต่การตรวจสอบมีข้อจำกัดต้องการการบูรณาการ เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถที่หน่วยงานต้นทางในการตรวจสอบ
ขณะเดียวกันครม.เศรษฐกิจ ยังเห็นชอบในหลักการแนวทางการดำเนินการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและการป้องกันการสวมสิทธิ และเห็นชอบในหลักการมาตรการตรวจสอบนิติบุคคล และมอบหมายกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นผู้ประสานการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายกฯ กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมการประชุม ASEAN และ APEC ซึ่งรัฐบาลได้ใช้โอกาสดังกล่าวในการนำเสนอและขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทยต่อประเทศต่างๆ ทั้งในเวทีระดับผู้นำประเทศและผู้นำภาคเอกชน เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ เปิดตลาดใหม่ แนะนำประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และสร้างโอกาสการลงทุน รวมถึงลดอุปสรรคการกีดกันทางการค้า
นายกฯ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีเรื่องสำคัญที่ต้องสานต่อจำนวนมาก และได้ย้ำให้ประเทศต่างๆ ทราบว่า รัฐบาลชุดนี้ดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจแบบ Quick Big Win เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศต่าง ๆ ที่ได้พบ ถือเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้มองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโอกาสและศักยภาพสูง เราได้มีบทบาทของเราบนเวทีระหว่างประเทศและได้นำสิ่งที่หารือมา ปฏิบัติแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะทำให้เกิดความสะดวกความมั่นใจในการมาลงทุน หรือมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามนายกฯ และกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับผู้นำหลายประเทศในเรื่องการขยายตลาด การส่งออกพืชผลทางการเกษตร และการผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้สำเร็จเรียบร้อยโดยเร็วที่สุด พร้อมขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีเอกนิติ ที่ได้ดำเนินนโยบายคนละครึ่งพลัส ซึ่งสร้างกำลังใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เมื่อลงพื้นที่ไปที่ไหน ก็ได้รับเสียงสะท้อนว่าประชาชนมีความสุขและดีใจที่ได้ใช้สิทธิคนละครึ่ง เป็นการสร้างความคึกคักเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เม็ดเงินกระจายไปในทั่วประเทศ
“ขอฝากคณะทำงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ต้องดำเนินการให้ครอบคลุมและทั่วถึง เนื่องจากระบบที่เป็นลักษณะ “first come, first serve” ทำให้ยังมีกลุ่มเปราะบางจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ ต้องรวบรวมกลุ่มประชาชนที่ตกหล่นจากครั้งแรกกลับมาในเฟสสอง ให้ได้รับการดูแลจากรัฐบาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้” นายกฯ กล่าว
ทั้งนี้ นายกฯ ยังฝากกระทรวงมหาดไทย ประสานความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ลงไปถึงในระดับนายอำเภอ เพื่อช่วยเหลือ แนะนำและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบและใช้สิทธิได้อย่างทั่วถึง พร้อมสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัด “หน่วยเคลื่อนที่ครบวงจร” เพื่อขยายฐานร้านค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ขณะเดียวกันยังขอให้กระทรวงพาณิชย์ติดตาม กำกับ และดำเนินคดี อย่างเด็ดขาดกับร้านค้าที่ทุจริต รับแลกเงิน หรือขึ้นราคาสินค้า ซึ่งรวมถึงชุดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขอให้ช่วยในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์โครงการให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น
นอกจากนี้ยังขอให้ดูแลหน่วยงานในกำกับให้ดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่าย (Front Load) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่เศรษฐกิจ และนำพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดียิ่ง ขอบคุณทางกระทรวงพลังงานที่เร่งพิจารณาแผนงานเหล่านี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ขอให้เร่งดำเนินการต่อไป และขอให้ทุกกระทรวงบูรณาการร่วมมือกัน