KEY
POINTS
วันนี้ (20 ตุลาคม 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธาน เห็นชอบมาตรการด้านพลังงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงพลังงาน ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า มาตรการด้านพลังงานที่เสนอเข้ามายังครม.เศรษฐกิจ ทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่เป็นนโยบายเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน และการลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดยกระทรวงพลังงาน แจ้งว่า มาตรการที่จะผลักดันออกมาได้ในปีนี้ทันที มีอยู่ 3 โครงการหลัก คือ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน โครงการโซลาร์เพื่อการเกษตร และการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี
“คาดว่านโยบายเหล่านี้จะสามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้ ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ประชาชนอาจจะซื้อไฟอยู่ประมาณ 4.90 บาท แต่ถ้ามีโซลาร์ชุมชน จะสามารถซื้อไฟได้ในราคา 3.10 บาทเท่านั้น แต่รายละเอียดต้องรอเข้า ครม. ก่อน ซึ่งคาดว่าจะนำเข้ามาให้ครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้า” นายสิริพงศ์ กล่าว
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า มาตรการที่กระทรวงพลังงานเสนอ ครม.เศรษฐกิจ พิจารณาครั้งนี้ มีด้วยกัน 3 มาตรการ 9 แผนงาน/โครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
โดยมีรายละเอียกแยกเป็นรายโครงการ ดังนี้
1.โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน คาดว่า ครัวเรือนในชุมชนที่เข้าร่วมโครงการได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้า 80 สตางค์ต่อหน่วย มีเงินลงทุนภาคเอกชนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 30,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1,785 คน
2.โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร คาดว่าจะสร้างผลประโยชน์ด้านการเกษตรรวม 12,100 ล้านบาท/ปี เกิดการจ้างงานทั้งหมด 13,800 คน
3.โครงการการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop คาดว่าจะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจากการลงทุน 20,250 ล้านบาท และส่งเสริมให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ 450 คน
4.โครงการโซลาร์ลอยน้ำ ในเขื่อน (FPV) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยโครงการนี้มีการลงทุน 53,368 ล้านบาท เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 140,440 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 450 คน
5.โครงการการส่งเสริมการติดตั้ง ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงาน แสงอาทิตย์สำหรับหน่วยงานของรัฐ โดยมีการลงทุน 9,000 ล้านบาท ทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากระบบโครงข่ายไฟฟ้า และอัตราค่าหน่วยไฟฟ้าลดลง 20% ของอัตราค่าไฟฟ้าฐาน หน่วยงานของรัฐ จะสามารถประหยัดงบประมาณค่าสาธารณูปโภค (ค่าไฟฟ้า) ได้สูงถึง 9,000 ล้านบาทต่อปี
แยกเป็นรายโครงการ ดังนี้
1.มาตรการการเร่งรัดการซื้อขายไฟฟ้าสะอาดโดยตรงระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม Data center หรือ มาตรการ Direct PPA มีกลุ่มเป้าหมาย ผู้ประกอบกิจการ Data Center ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงาน หมุนเวียนตามข้อกำหนดจากบริษัทแม่ และเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ โดยกำหนดปริมาณกรอบเป้าหมาย การดำเนินการ Direct PPA ไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์
โดยมาตรการนี้จะมีการส่งเสริมการลงทุนปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าในระยะแรก ในพื้นที่ภาคตะวันออกรวม 37,500 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนของ กฟผ. 33,500 ล้านบาท และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 4,000 ล้านบาท
ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนในโครงการนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศรองรับ อุตสาหกรรม Data Center และการพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออกเพื่อพัฒนา ระบบผลิตและระบบส่งไฟฟ้าในพื้นที่ EEC กระตุ้นเงินลงทุนทางเศรษฐกิจกว่า 65,000 ล้านบาท และเกิดการสร้างงานมากกว่า 3,094 คน
2.การพัฒนาระบบส่งระบบจำหน่ายไฟฟ้าใน EEC เพื่อรองรับปริมาณความต้องการไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ประเภท Data Center ในพื้นที่ EEC ได้ประมาณ 3,8167.6 เมกะวัตต์ โครงการนี้ใช้เงินลงทุน 33,500 ล้านบาท คาดว่าโครงการนี้จะเกิดผลประโยชน์กว่า 580,000 ล้านบาท และสร้างการจ้างงาน 4,580 คน
แยกเป็นโครงการต่าง ๆ ดังนี้
1.โครงการนำร่องนำเทคโนโลยีเก็บกักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) แยกเป็น
1.1 ศึกษาและประเมินศักยภาพการกักเก็บ CO2 ในบริเวณอ่าวไทย ตอนบนเพื่อรองรับการปลดปล่อยจากคาร์บอนจากพื้นที่ EEC (ภายใต้ Thailand Eastern CCS Hub) โดยเริ่มพิสูจน์ทราบศักยภาพชั้นหินทางธรณีวิทยาเพื่อกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในชั้นหินทางธรณีวิทยาในบริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป็น Eastern CCS Hub กักเก็บ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เริ่มต้นระยะแรกที่ 5 ล้านตันต่อปีภายในปี พ.ศ.2577 (ค.ศ.2034) และระยะที่ 2 เพิ่มเป็น 10 ล้านตันต่อปีภายในปี พ.ศ.2583 (ค.ศ.2040)
โดยมีกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มอุตสาหกรรมโรงแยกก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงกลั่น และโรงไฟฟ้า ในจังหวัดระยอง และชลบุรี มีระยะเวลาดำเนินการ ระยะเวลา 5ปี (พ.ศ. 2566 - 2571) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น
โครงการนี้จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยมีเงินลงทุนในระยะแรกจากภาคเอกชน 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับศักยภาพในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 5 ล้านตันต่อปีภายในปี พ.ศ.2577 (กลุ่มที่มีการติดตั้งการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตปัจจุบันแล้ว)
ส่วนผลประโยชน์ในระยะที่ 2 เงินลงทุนภาคเอกชน 12,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับศักยภาพในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 10 ล้านตันต่อปีภายในปีพ.ศ.2583 ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังไม่มีการติดตั้งการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอ่าวไทยตอนบน กระบวนการผลิตและจำเป็นต้อง ลงทุนใหม่ ตลอดอายุโครงการ รวมถึงเกิดการจ้างงาน 11,000 คน
1.2 เสนอให้ดำเนินการโครงการนำร่องดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แหล่ง ก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ (Arthit CCS Pilot Project) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่อัตรา 1 ล้านตันต่อปี ระยะที่ 1 ในช่วงปี พ.ศ.2571 – 2579 โดยมีงบลงทุนประมาณ 16,500 ล้านบาท
2.เร่งปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan: PDP) ให้แล้วเสร็จใน 4 เดือน เพื่อที่ประเทศไทยจะวางแผนจัดหากำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคง ค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม