คลังชงครม.เศรษฐกิจพรุ่งนี้ เคาะมาตรการแก้หนี้ต่ำ 1 แสน ผ่าน AMC

02 พ.ย. 2568 | 09:12 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ย. 2568 | 09:15 น.

คลังชงครม.เศรษฐกิจพรุ่งนี้ เคาะมาตรการแก้หนี้ต่ำ 1 แสน ผ่าน AMC แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย เล็งอัดซอฟต์โลน เติมสภาพคล่องเอสเอ็มอี

นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลมีเวลาเหลืออีก 3 เดือน และจะยุบสภาในเดือน ม.ค.69 ทำให้ตอนนี้รัฐบาลต้องเร่งเครื่องให้สุด เพื่อส่งมอบให้ประชาชน ให้กับประเทศและเศรษฐกิจไทย

โดยวันที่ 3 ต.ค.นี้ จะนำมาตรการแก้หนี้ประชาชนต่ำกว่า 1 แสนบาท เข้าสู่การพิจารณาคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ผ่านการให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC เข้ามาช่วยเหลือดูแลกลุ่มนี้ เพื่อปลดล็อกบริโภคในประเทศ และต้องแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน จากหนี้ครัวเรือนอยู่เกือบ 90%

ขณะเดียวกันในอีก 2 สัปดาห์จะนำรายละเอียดเข้าสู่ครม.เศรษฐกิจ ในเรื่องของการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ตามมาตรการพี่ดูแลน้อง ให้แรงจูใจให้บริษัทขนาดใหญ่ช่วยเอสเอ็มอีขนาดเล็กและให้จ่ายเงินได้เร็วขึ้น ขณะที่ยังมีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟต์โลน และการค้ำประกันสินเชื่อ ผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่จะช่วยเรื่องการเข้าถึงสภาพคล่อง

นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง

สำหรับนโยบายกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว เริ่มตั้งแต่โครงการคนละครึ่งพลัส ที่ได้เริ่มใช้แล้ว และมีโครงการเที่ยวดีมีคืน ลดหย่อนภาษีได้ตามการใช้จ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท ทั้งเมืองหลักเมืองรอง สำหรับเดินทางไปท่องเที่ยวและรับประทานอาหาร โดยต้องขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax) หรือรูปแบบกระดาษ กรณีนี้จะได้ 10,000 บาทแรก

"ทั้งสองมาตรการต้องการกระตุ้นสั้น หวังได้ผลยาว ต้องการคนให้เข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น เมื่อรายได้ไม่พอรายจ่าย และเป็นที่มาของการขาดดุลการคลังในทุกปี จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วย จึงมีแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษี อย่างคนละครึ่งพลัส ถ้าคนยื่นแบบฟอร์มภาษีจะได้ 2,400 บาท และไม่ยื่นภาษีได้ 2,000 บาท เช่นเดียวกับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวลดหย่อนภาษีด้วย"

นอกจากนี้ รัฐบาลจะเน้นเรื่องการเงินการออม โดยจะให้ประชาชนที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและไม่ถูกรางวัล ได้มีโอกาสออมเงินได้ด้วย จะสร้างวินัยการเงินเริ่มเล็กๆและเพิ่มพูนเรื่อยๆ รวมทั้งอยากให้คนไทย และผู้ประกอบการไทยมีการพัฒนาทักษะในเรื่องดิจิทัลเทคโนโลยี การค้าขาย รวมทั้งต้องลดการขาดดุลทางการคลัง เพราะจะเป็นความเสี่ยงเรื่องเครดิตเรตติ้งของประเทศ และให้เศรษฐกิจไทยเติบโต 

สำหรับปี 2568 คาดว่าไตรมาส 3 จะอยู่ที่ 1.7% ซึ่งในเดือน พ.ย. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเปิดเผยอย่างเป็นทางการ และในไตรมาส 4 คาดว่าจีดีพีจะอยู่ที่ 0.3% และจากคาดการณ์กระทรวงการคลังปีนี้ เศรษฐกิจจะเติบโต 2.4% และปี 2569 จะเติบโต 2% มาจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ