คลังเอาจริง ตัดสิทธิ 55 ร้านค้ารับแลกเงินสด ‘คนละครึ่งพลัส’

02 พ.ย. 2568 | 08:18 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ย. 2568 | 08:22 น.

คลังระงับสิทธิ 55 ร้านค้า รับแลกเงินสด ‘คนละครึ่งพลัส’ พร้อมเอาผิดถึงที่สุดร้านทุจริต ระบุ 1 พ.ย. ยอดใช้จ่ายทะลุ 8.7 พันล้าน

นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงโครงการคนละครึ่ง พลัส ว่า จากการติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ของร้านค้าในสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมกับการวิเคราะห์ธุรกรรมของร้านค้าด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Analytics) กระทรวงการคลังได้ระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการฯ ของร้านค้าแล้วเป็นจำนวน 55 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568) เนื่องจากมีพฤติการณ์รับแลกเงินและสแกนรับเงินห่างจุดขายแบบผิดปกติ 

“ขอย้ำเตือนว่า กระทรวงการคลังจะดำเนินการเอาผิดกับร้านค้าที่ทุจริตในโครงการฯ อย่างถึงที่สุด ทั้งนี้ โครงการฯ มีวัตถุประสงค์ชัดเจนที่รัฐบาลจะร่วมจ่ายค่าสินค้าหรือบริการกับประชาชนเพื่อบรรเทาภาระ และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอยกับผู้ค้าขายรายเล็กที่สุจริต”

ทั้งนี้ หากร้านค้าและประชาชนมีพฤติการณ์ เช่น รับแลกเงินโดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง สแกนค่าสินค้าต่างจากราคาสินค้าหรือบริการจริง ซื้อขายสินค้าต้องห้าม ให้บริการที่ไม่ได้อยู่ในข่ายประเภทที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นต้น จะนำไปสู่ความเสียหายต่อการดำเนินโครงการฯ และกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเรียกเงินคืนจากร้านค้าเต็มจำนวนตามที่รัฐได้โอนให้แก่ร้านค้าและดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดต่อไป 

นอกจากนี้ ขอย้ำเตือนร้านค้าอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าโดยให้จำหน่ายสินค้าในราคาเดียวกันทั้งกรณีชำระด้วยเงินสด และชำระผ่านโครงการฯ

ขณะที่ความคืบหน้าการใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่ง พลัส โดย ณ วันที่ 1 พ.ย.68 มียอดใช้จ่ายรวมกว่า 8,748 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น

  • เงินที่ประชาชนจ่าย 4,426 ล้านบาท 
  • เงินที่รัฐร่วมจ่าย 4,321 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ระหว่างเวลา 06.00 - 23.00 น. ผ่าน G-Wallet ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยในแต่ละวันไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายให้เต็มสิทธิ 200 บาท

คลังเอาจริง ตัดสิทธิ 55 ร้านค้ารับแลกเงินสด ‘คนละครึ่งพลัส’

สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้จ่ายในโครงการนั้น จะต้องเป็นการซื้อขายสินค้า และบริการเฉพาะบริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม และบริการขนส่งสาธารณะ โดยไม่รวมถึงสินค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า 

โดยผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีการทำธุรกรรมซื้อขายและสแกน QR Code เพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการแบบพบหน้า (Face to Face) โดยไม่มีการดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือผ่านคนกลาง เว้นแต่การใช้สิทธิผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่เข้าร่วมโครงการฯ 

ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่ให้บริการนวด และสปา ที่ประสงค์จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ขอให้ตรวจสอบชื่อและที่ตั้งของสถานประกอบการในแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ให้ตรงกับใบอนุญาตสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการตรวจสอบ และอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ดังมีรายละเอียดวิธีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลร้านค้าถุงเงินบนเว็บไซต์ถุงเงินกรุงไทยปรากฏตาม QR Code