KEY
POINTS
วันนี้ (30 ตุลาคม 2568) ที่เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือกับผู้แทนกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯ สมาชิกองค์กร US - APEC Business Coalition พร้อมผู้เข้าร่วมจากภาคเอกชนหลากหลายบริษัท อาทิ Amazon, Boeing, Citi, Coupang, Johnson & Johnson, Mastercard, Merck, Moody’s, Paypal และ Organon เป็นต้น
ภายหลังเสร็จสิ้น นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
ในช่วงแรก นาง Monica Hardy Whaley ประธาน National Center for APEC ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยที่เห็นถึงความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในไทยของภาคเอกชนต่างประเทศ และมีนโยบายที่ช่วยส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างชาติ และสละเวลามาพบหารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่เป็นสมาชิกเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวทักทายและขอบคุณ US–APEC Business Coalition ที่จัดการหารือครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ไทยได้พบปะกับพันธมิตรทางเศรษฐกิจสำคัญอย่างสหรัฐฯ ที่มีความร่วมมือมายาวนาน พร้อมย้ำถึงความสำคัญของภาคเอกชนของสหรัฐฯ ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในประเทศไทย
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงได้การพบปะหารือกับประธานาธิบดี ทรัมป์ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย และได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Framework for a United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) และยังได้พบอีกครั้ง ระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งได้ย้ำถึงการขอให้พิจารณาเรื่องภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯ ต่อไทย
โดยประธานาธิบดีทรัมป์รับปากที่จะให้ผู้แทนทางการค้าสหรัฐฯ หารือกับไทย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก สำหรับการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศยิ่งขึ้น ขอให้ทุกท่านมีความมั่นใจและขอยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนสหรัฐฯ และพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการลงทุนยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวการหารือกับหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา และในเดือนหน้าคณะ US–ASEAN Business Council จะเดินทางเยือนไทยเพื่อหารือเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ โลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนจากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก และแนวโน้มของนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายสินค้า แรงงาน และการลงทุนทั่วโลก
โดยไทยยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่มีกฎกติกา และพร้อมทำงานร่วมกับกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น APEC และอาเซียน เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน สำหรับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าไทยกำลังเจรจาอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายสหรัฐฯ และเมื่อสัปดาห์ก่อน ไทยและสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสร้างรากฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง รัฐบาลจึงกำหนดนโยบายเชิงรุกและเร่งผลักดันผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ลดภาระหนี้ครัวเรือน สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ รวมทั้งมุ่งสร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดขั้นตอนการดำเนินธุรกิจให้เอื้อต่อผู้ลงทุนมากที่สุด
รวมทั้ง ขยายความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 24 ประเทศใน 17 ฉบับ และกำลังเร่งเจรจากับสหภาพยุโรป สาธารณรัฐเกาหลี และตุรกี ขณะเดียวกัน ไทยยังมีบทบาทเชิงรุกในกรอบเศรษฐกิจภูมิภาค เช่น อาเซียน BIMSTEC ACD และเอเปค รวมถึงตั้งเป้าเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ภายในปี 2573 เพื่อยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความยั่งยืน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ไทยกำลังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง ทั้งด้านโลจิสติกส์ ดิจิทัลไฟแนนซ์ และพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานและรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลเช่น โครงการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreements) ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมอนาคต
พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ผ่านโครงการเพิ่มทักษะและทักษะใหม่ โดยตั้งเป้าผลิตแรงงานทักษะสูง 280,000 คนภายในปี 2571 รวมถึงความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำของสหรัฐฯ เช่น ข้อตกลงระหว่างมหาวิทยาลัย Arizona State และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ในด้านเซมิคอนดักเตอร์
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย–สหรัฐฯ เป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยในปี 2567 สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยและเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ไทยมีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศสูงสุดในรอบ 10 ปี รวม 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การลงทุนของภาคเอกชนไทยในสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ไทยยังยินดีที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Amazon Web Services, Google และ Microsoft ได้ขยายการลงทุนในไทย โดยเฉพาะโครงการ data center และระบบคลาวด์ ซึ่งจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนสหรัฐฯ ร่วมมือพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมเกษตร–อาหาร ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงและพร้อมต่อยอดด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจากสหรัฐฯ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณผู้แทนจากองค์กร US–APEC Business Coalition ที่ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง และย้ำความเชื่อมั่นว่าการหารือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย–สหรัฐฯ ให้เติบโตอย่างมั่นคง สร้างประโยชน์ร่วมกันแก่ภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ ผู้แทนภาคธุรกิจสหรัฐฯ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมต่อความมุ่งมั่นของรัฐบาล ตลอดจนนโยบายด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส และพร้อมเข้ามาขยายการลงทุนในโครงการ Digital Payment ของรัฐบาล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ และต่างให้คำมั่นว่าจะลงทุนและขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง