วันที่ 30 ตุลาคม 2568 นายสิริพงศ์ อังสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย(มท.) เร่งสนับสนุนการดำเนินงาน โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนทุกพื้นที่
โดยมอบหมายให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์และเชิญชวน ผู้ประกอบการร้านค้า–ผู้ผลิตสินค้า OTOP ในพื้นที่ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างสะดวก ครอบคลุม และเกิดประโยชน์สูงสุด
“นายกรัฐมนตรีต้องการให้โครงการนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และสร้างรายได้ให้ชุมชนทั่วประเทศ จึงมอบหมายให้มหาดไทยเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน” นายสิริพงศ์กล่าว
สำหรับแนวทางปฏิบัติ กระทรวงมหาดไทยจะให้ อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ร่วมมือกับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดตั้ง หน่วยบริการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ลงพื้นที่ระดับตำบลและชุมชน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการร้านค้า ในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ โดยมีเป้าหมายให้ทุกตำบลมีร้านค้าร่วมโครงการอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและอำเภอ (พช.) เป็นหน่วยงานหลักในการเชิญชวนผู้ประกอบการสินค้า OTOP เข้าร่วม พร้อมเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า เช่น การจัดตลาดนัด OTOP รายสัปดาห์ ณ ศาลากลางจังหวัดหรือที่ว่าการอำเภอ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” ในการจับจ่ายซื้อสินค้าไทย–ผลิตภัณฑ์ชุมชนโดยตรง
ในส่วนของการประชาสัมพันธ์ นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้ทุกจังหวัด สร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการร้านค้า ว่าการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสนั้น กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ไม่ได้ส่งต่อข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของร้านค้าให้กรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบรายได้ แต่อย่างใด เพื่อให้ร้านค้ามีความมั่นใจและเข้าร่วมโครงการมากที่สุด
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ ที่ทำการปกครองจังหวัด (ปค.จ.) เป็นหน่วยงานหลักในการรายงานผลการดำเนินงานและการประชาสัมพันธ์ของแต่ละจังหวัด ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นรายสัปดาห์ โดยให้รายงานครั้งแรกภายใน วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568 และรายงานต่อเนื่องจนถึงวันสิ้นสุดโครงการ
นายสิริพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ถือเป็น มาตรการเรือธงของรัฐบาล ที่นายอนุทิน ผลักดันด้วยความตั้งใจ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน และสร้างแรงกระตุ้นต่อระบบเศรษฐกิจในระดับฐานรากอย่างแท้จริง
“รัฐบาลต้องการให้ทุกครอบครัวมีโอกาสใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ร้านค้ารายย่อยและผู้ประกอบการชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น การสั่งการให้มหาดไทยเข้ามามีบทบาทสำคัญครั้งนี้ เพราะเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดประชาชนที่สุด และพร้อมให้บริการด้วยความเต็มใจ” นายสิริพงศ์ กล่าว
สำหรับโครงการ “คนละครึ่งพลัส” นับเป็นการต่อยอดจากโครงการ “คนละครึ่ง” เดิม โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจและขยายผลสู่กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย–OTOP มากขึ้น โดยรัฐบาลจะสนับสนุนส่วนลดให้ประชาชนใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในร้านค้าที่เข้าร่วมทั่วประเทศ