‘คนละครึ่งพลัส’ ดันจีดีพีภาคอุตสาหกรรมโตกว่า 1.5 หมื่นล้าน

30 ต.ค. 2568 | 04:24 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ต.ค. 2568 | 04:24 น.

สศอ.ชี้ ‘คนละครึ่งพลัส’ ดันจีดีพีภาคอุตสาหกรรมโตกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท แนะรัฐ ยกระดับอุปสงค์รวมของประชาชนในประเทศอย่างต่อเนื่องเพิ่มเติม

KEY

POINTS

  • สศอ. ประเมินว่าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ GDP ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 15,000 ล้านบาท หรือ 0.1%
  • มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงปลายปี 2568 และช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ
  • โครงการจะส่งผลดีต่ออุปสงค์ของสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และภาคบริการ

นายศุภกิจ บุญศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติดำเนินโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2568 และแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน ในส่วนของการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคและบริโภคจะมีกลุ่มสินค้าและบริการที่สามารถใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม บริการขนส่งสาธารณะ รวมถึงซื้ออาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) 

ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุปสงค์ของสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ในเบื้องต้น สศอ. ประเมินว่า ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว โดยคาดว่า GDP ภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.1% หรือขยายตัวประมาณ 15,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลของนโยบายอาจจะขยายตัวได้มากกว่านี้ หากรัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนในการยกระดับอุปสงค์รวมของประชาชนในประเทศอย่างต่อเนื่องเพิ่มเติมควบคู่กับมาตรการข้างต้น

ด้านดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 94.56 ขยายตัว 1.025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 58.13% เนื่องจากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การผลิตรถยนต์กลับมาขยายตัวอีกครั้งอยู่ที่ 5.57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

‘คนละครึ่งพลัส’ ดันจีดีพีภาคอุตสาหกรรมโตกว่า 1.5 หมื่นล้าน

รวมถึงการท่องเที่ยวของคนในประเทศขยายตัวเนื่องจากโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การปรับลดค่าไฟฟ้าและโครงการคุณสู้เราช่วยเฟส 2 เป็นต้น ขณะที่ ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 93.36 หดตัว 2.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 57.39%

สำหรับปัจจัยที่กดดันภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเพิ่มเติมจากไทยที่ 19% แต่สหรัฐฯ ยังมีการทบทวน  เก็บภาษีนำเข้ารายสินค้าเพิ่มเติมในกลุ่มสินค้าไม้ ยา เฟอร์นิเจอร์ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากกระแสเงินทุนไหลเข้าและทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าส่งออกของไทยสูงขึ้นในตลาดโลก กระทบความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีราคาใกล้เคียงกัน 

โดยอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบน้อยและมีสัดส่วนการส่งออกมาก เป็นกลุ่มที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ เป็นหลักและมีการส่งออกมาก จึงได้รับผลกระทบจากรายรับจากการส่งออกที่น้อยลง รวมถึงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศลดลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารแช่แข็ง ไส้กรอก กระเป๋าเดินทาง รองเท้ากีฬา และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนตุลาคม 2568 ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง โดยปัจจัยในประเทศโดยรวมส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากการลงทุนภาคเอกชนและความเชื่อมั่น  ด้านคำสั่งซื้อที่ปรับตัวลดลง ด้านปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังลดลง จากภาคการผลิตในภูมิภาคอาเซียนเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวและการผลิตปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตของสหภาพยุโรปยังคงซบเซา

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนกันยายน 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ 

ยานยนต์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.57% จากผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฮบริดไม่เกิน 1800 ซีซี รถยนต์นั่งปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ดีเซล และรถยนต์นั่งไฟฟ้า เป็นหลัก ตามการขยายตัวของตลาดในประเทศและการส่งออกจากความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเพิ่มขึ้น สำหรับรถบรรทุกปิคอัพขยายตัวได้มากขึ้นทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก

‘คนละครึ่งพลัส’ ดันจีดีพีภาคอุตสาหกรรมโตกว่า 1.5 หมื่นล้าน

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.56% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และแก๊สโซฮอล์ 95 เป็นหลัก เนื่องจากความต้องการของตลาดที่ขยายตัว รวมถึงผลของฐานต่ำในปีก่อนที่มีผู้ผลิตบางรายหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตบางส่วน

ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.40% จากผลิตภัณฑ์ Printed Circuit Board Assembly (PCBA) เป็นหลัก ตามความต้องการของตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนกันยายน 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ 

    เครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 23.00% จากผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ เป็นหลัก เนื่องจากการหดตัวของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ประกอบกับมีสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ

กาแฟ  ชา  และสมุนไพรผงสำหรับชงเป็นเครื่องดื่ม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 85.15% จากผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป เป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่หยุดผลิตต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ประกอบกับมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูก

ผลิตภัณฑ์คอนกรีต  ปูนซีเมนต์  และปูนปลาสเตอร์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.00% จากผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีต คอนกรีตผสมเสร็จ และท่อซีเมนต์ เป็นหลัก ตามการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และงานก่อสร้าง จากภาวะเศรษฐกิจและสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ประกอบกับราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ