กระทรวงอุตฯดันไทยฮับยานยนต์อนาคต รุกดึงเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้าน

23 ต.ค. 2568 | 00:11 น.

กระทรวงอุตสาหกรรมดันไทยฮับยานยนต์อนาคต เผยศูนย์ ATTRIC คืบหน้ากว่า 80% ตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท

KEY

POINTS

  • กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันไทยสู่การเป็นฮับยานยนต์แห่งอนาคต ผ่านการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC)
  • ศูนย์ ATTRIC จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเพื่อดึงดูดการลงทุน รองรับการทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า และคาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2570
  • คาดการณ์ว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศปีละกว่า 1,000 ล้านบาท และช่วยลดต้นทุนการส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบในต่างประเทศ

นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (Automotive and Tyre Testing, Research and Innovation Center - ATTRIC) ว่า ศูนย์ดังกล่าวเตรียมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ปี 2570

ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ โดยอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ของภูมิภาคอาเซียน ด้านการส่งออกยางล้อรถยนต์ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลก ศูนย์ ATTRIC จึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นเป้าหมายของการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต 

ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากผู้ผลิตยานยนต์ ชิ้นส่วน และยางล้อ และเป็นสถานที่รองรับการทดสอบ และวิจัยด้านยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้า และยางล้อระดับโลก 

โดยคาดการณ์ว่า จะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยปีละกว่า 1,000 ล้านบาท อีกทั้งยังกระจายเม็ดเงินในพื้นที่โดยรอบไม่ต่ำกว่า 148 ล้านบาทต่อปี สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

กระทรวงอุตฯดันไทยฮับยานยนต์อนาคต รุกดึงเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้าน

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ATTRIC มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้วกว่า 80% ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 2,683 ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม ได้วางแนวทางในการดำเนินงาน โดยผลักดันให้ ATTRIC เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา (Knowledge Infrastructure) เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน 

ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวบรวมและถ่ายทอดความรู้ด้านการทดสอบ เพื่อสร้างบุคลากรทักษะสูง รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต และที่สำคัญ คือ ลดเวลาและค่าใช้จ่าย ในการส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบในต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย รวมถึงยังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการเข้าถึงเครื่องมือทดสอบที่มีคุณภาพสูงมาตรฐานสากล ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างดีที่สุด

นายเอกนิติ รมยานนท์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้ก่อสร้างสนามทดสอบแล้วเสร็จจำนวน 5 สนาม ได้แก่ 1.สนามทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน                  UN R117 ,2.สนามทดสอบระบบเบรกมือ ,3.สนามทดสอบการยึดเกาะถนนขณะเข้าโค้ง ,4.สนามทดสอบระบบเบรก และ5.สนามทดสอบพลวัต ซึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 1 สนาม คือ สนามทดสอบความเร็วและสมรรถนะ โดยพร้อมเปิดให้บริการอย่างครบวงจรได้ในปี 2570 

ด้านการกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบยางล้อ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อรองรับการดำเนินงานของศูนย์ทดสอบฯ สมอ. ได้กำหนดมาตรฐานแล้วจำนวน 19 มาตรฐาน เช่น เสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียกและความต้านทานการหมุน มลพิษทางเสียงของจักรยานยนต์

กระทรวงอุตฯดันไทยฮับยานยนต์อนาคต รุกดึงเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้าน

จุดยึดเข็มขัดนิรภัยฯ เข็มขัดนิรภัย แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จรถไฟฟ้า กระจกนิรภัย การป้องกันผู้โดยสารเมื่อเกิดการชนจากด้านหน้าของยานยนต์ เป็นต้น ปัจจุบันศูนย์ทดสอบฯ เริ่มให้บริการทดสอบแก่ผู้ประกอบการแล้วตั้งแต่ปี 2562 โดยมีมูลค่าการทดสอบรวมกว่า 189 ล้านบาท 

และขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการบริหารงานศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติที่เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานมีความคล่องตัว และรองรับการให้บริการผู้ประกอบการในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด