KEY
POINTS
ตั้งชุดตรวจพิเศษร่วม ศุลกากร, พาณิชย์, และกรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าตรวจโรงงานใน Free Zone เพื่อเช็คการผลิตจริง รวมถึงตรวจสอบ บิลค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า และ ใบ รง.4 เพื่อจับโรงงานที่แค่ 'รีแพค' สินค้า
เตรียมปรับปรุงกฎเกณฑ์ Regional Value Content (RVC) 40% ให้ต้องเป็น มูลค่าที่อยู่ในโครงสร้างต้นทุนการผลิตสินค้าจริง เพื่อป้องกันการบวกราคาเพิ่มเพื่อ 'สวมสิทธิ์' ทางภาษี
ติดตั้งเครื่อง X-Ray ทันสมัย ที่หน้าด่าน เพื่อตรวจสินค้าโดย ไม่ต้องเปิดตู้ และลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ลดความเสี่ยงการทุจริต
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยปัจจัยกระทบเชิงลบรอบด้านอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในพื้นที่สำหรับประกอบการอุตสาหกรรมหลักของไทย ที่กำลังพิสูจน์ศักยภาพของประเทศในการเป็นฐานที่ตั้งโรงงานของเหล่าผู้ประกอบการจากทั่วโลก คือ พื้นที่ Free Zone หรือเขตปลอดอากร เพื่อการสนับสนุนธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
พื้นที่ Free Zone เป็นพื้นที่ภายใต้การดูแลของกรมศุลกากร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ทางอากรศุลกากรในการประกอบอุตสาหกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ
โดยผู้ที่จะเข้ามาประกอบกิจกรรมในพื้นที่ Free Zone นี้ ต้องยื่นขอรับใบอนุญาตเพื่อดำเนินการ อย่างไรก็ตามปัจจุบันพบว่า มีหลายพื้นที่ Free Zone มีการใช้ผิดวัตถุประสงค์
ขณะที่ปัจจุบันไทยกำลังประสบปัญหาสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าไทย กดดันทั้งค่าเงินบาท อัตราเงินเฟ้อ และยังท้าทายต่อการทำธุรกิจของเอกชนไทยที่แข่งได้ยากในสภาวะตลาดที่ผันผวนและยังอาจมีประเด็นกับสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องภาษีสวมสิทธิ หรือภาษีทางผ่าน (Transshipment)
ซึ่งจะเป็นภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าที่สหรัฐสงสัยว่า มีการ ‘สวมสิทธิ’ หรือเปลี่ยนแปลงแหล่งกำเนิดสินค้า จากประเทศหนึ่งมายังประเทศผู้ส่งออก ก่อนที่จะส่งออกไปยังสหรัฐฯอีกที
ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลการค้าจีน 1.18 ล้านล้านบาท โดยไทยส่งออกเพียง 8.16 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนแค่ 41% ของสินค้าจีนที่นำเข้าไทย มูลค่ากว่า 1.99 ล้านล้านบาท โดยการทะลักเข้าของสินค้าจีนปีนี้ เป็นสินค้าทุนและวัตถุดิบสัดส่วนกว่า 78% ของการนำเข้าทั้งหมด
“ปัจจุบันไทยยังไม่ตกอยู่สถานะที่ขึ้นชื่อว่า เป็นทางผ่านสินค้า หรือ เป็นแหล่งสินค้าสวมสิทธิ์ แต่ก็ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ เราจึงต้องแก้ไขเรื่องนี้ก่อนที่จะสายเกินไป” แหล่งข่าวจากกรมศุลกากร
แหล่งข่าวจากกรมศุลกากรกล่าวกับ ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ถึงกรณีการแก้ปัญหาสินค้า ‘รีแพค’ ในพื้นที่ Freezone ว่า สินค้าขาเข้า Freezone ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร อุปกรณ์สร้างโรงงาน, วัตถุดิบเพื่อการผลิตหรือเชิงพาณิชย์และสินค้ารับโอนจากเขตปลอดอากรอื่นๆ นั้น จะเป็นหน้าที่ของกรมศุลกากรในการตรวจรับ จากนั้นจะถูกพักไว้ในพื้นที่ฟรีโซน
แต่ในกรณีที่ในฟรีโซนมีโรงงานผลิตสินค้า หากเป็นสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออก โดยจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของประเทศกลุ่มอาเซียน เจ้าของโรงงานหรือสินค้าก็จะต้องขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หรือ ใบ CO ซึ่งปัจจุบันอยู่ในการดูแลของกระทรวงพาณิชย์
“ถ้าจะส่งออกจากไทย โดยใช้สิทธิพิเศษทางภาษีของกลุ่มอาเซียน หรือประเทศที่ไทยมี FTA ด้วย สินค้าเหล่านั้นจะต้องมี Regional Value Content (RVC) คิดเป็น 40% ของมูลค่าสินค้า ส่วนสินค้าที่ขายในประเทศก็แล้วแต่ต้นทางว่า มาจากประเทศใด”
ทั้งนี้ เมื่อเจ้าของโรงงานนำสินค้าเข้าไทยแล้ว ทำการ ‘รีแพค’ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น เพราะพบเจ้าของโรงงานที่พยายามเคลมว่า สินค้าของตนมีการผลิตในไทย ใช้ Local Content 40% ตามกำหนด แต่แท้จริงแล้วใช้ Local Content ผลิตจริงเพียง 5-10% หรือบางรายแทบไม่ใช้วัตถุดิบในไทย แต่ใช้วิธีการบวกราคาสินค้า On Top เพิ่มเพื่อให้มีมูลค่าถึง 40% ตามกำหนด
ดังนั้นในการแก้ปัญหาเหล่านี้ กรมศุลกากรอาจต้องดำเนินการแก้ไขประกาศกระทรวงการคลังในส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่า เป็นอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรสามารถดำเนินการได้
โดยใช้มติ ครม. ในการรองรับ เบื้องต้นอาจกำหนดให้การใช้ Local Content ในไทย หรือ ค่า RVC 40% นั้น ต้องเป็นมูลค่าของสินค้าที่อยู่ในโครงสร้างต้นทุนสินค้า ไม่สามารถใช้การเพิ่มมูลค่าหรือราคาของสินค้า เพื่อดันให้สัดส่วน RVC ถึง 40% ได้
“การแก้เกณฑ์ RVC เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะประเทศกลุ่มอาเซียนก็ใช้เกณฑ์ 40% นี้กันทั้งหมด หากมีการแก้เกณฑ์ให้เกิน 40% จะกระทบภาพรวม แต่หากแก้ให้เป็นเกณฑ์ในส่วนโครงสร้างต้นทุน ก็อาจจะทำได้”
ในส่วนของการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิด หรือ ใบ CO นั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเดิมทีเข้าใจว่า เจ้าหน้าที่จะรับเรื่องโดยเห็นแค่เพียงเอกสาร แต่ไม่ได้ลงพื้นที่จริง เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านบุคลากร เพราะเดิมทีหน้าที่ออกใบ CO ภาคเอกชนสามารถทำกันเองได้ผ่านสถาบันเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)หรือ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แต่ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ดึงหน้าที่นี้กลับไปบริหารเองชั่วคราว
ดังนั้น กรมศุลกากรจึงจะต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ จัดชุดเจ้าหน้าที่พาเข้าไปตรวจสอบผู้ประกอบการที่มาทำการยื่นขอใบ CO เพื่อใช้ในการประกอบเป็นข้อมูล โดยจะทำการตรวจสอบว่า โรงงานที่อ้างว่า ผลิตสินค้าในไทยนั้น มีการเดินเครื่องจักรการผลิตจริงหรือไม่ และอาจจะต้องดูละเอียดถึงใบเสร็จค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า หากต่ำเกินจริงก็อนุมานได้ว่า โรงงานดังกล่าวอาจจะทำการเพียงแค่ ‘รีแพค’ สินค้าเท่านั้น
นอกจากนี้ หากจะตรวจสอบให้ละเอียด อาจจะต้องตรวจสอบ ใบ รง.4 ที่ออกโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่า ประกอบธุรกิจตรงกับวัตถุประสงค์หรือไม่ ดังนั้น ชุดตรวจนี้ อาจจะต้องมีเจ้าหน้าที่จากกรมโรงงานอุตสาหกรรมร่วมบูรณาการด้วย
“แม้ใบ รง.4 จะมีผลเป็นถาวร แต่ในแต่ละปีผู้ประกอบการต้องมาขอรับรองการประกอบกิจการและชำระค่าธรรมเนียม ก็น่าจะเป็นจังหวะที่เราสามารถลงไปตรวจสอบได้ว่า มีการผลิตสินค้าจริงหรือไม่ ถ้าต้องดูถึงบิลค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้าก็สามารถทำได้”
ในกรณีที่มีข้อแนะนำจากหลายฝ่ายให้กรมศุลกากรแก้ปัญหาการดำเนินของบุคลากรที่เข้าข่ายทุจริต จะมีการแก้ปัญหาที่ระบบและกระบวนการทำงานที่หน้าด่าน โดยเตรียมใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจผ่านสินค้า โดยที่ไม่ต้องเปิดตู้ เช่น เครื่อง X-Ray ที่ทันสมัย เพื่อไม้ให้มีการเปิดตรวจด้วยดุลพินิจของเจ้าหน้าที่
“ปัจจุบันไม่มีประเทศใดตรวจสอบรายสินค้านำเข้าจะมีการใช้เทคโนโลยี และใช้ความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้นำเข้า โดยเช็คเครดิตของแต่ละบริษัทแทน”
ทั้งนี้ ระบบการตรวจสินค้าต้องไม่กำหนดให้ต้องเจอเจ้าหน้าที่ เพื่อลดความเสี่ยงทุจริต โดยปัจจุบันกรมศุลกากรใช้อยู่แล้ว แต่ต้องอัพเกรดให้เป็นรุ่นใหม่ โดยเบื้องต้นได้มีการสั่งซื้อแล้ว เพื่อใช้งานที่ท่าเรือแหลมฉบังจำนวน 2 เครื่อง
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,139 วันที่ 12 - 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568