KEY
POINTS
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกล่าวในงานสัมมนา Thailand Economic Outlook Out of the Trap จัดโดย "กรุงเทพธุรกิจ" วันนี้ (9 ต.ค.) ว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ พบว่า ตัวเลข GDP ปัจจุบันคาดการณ์ว่าไตรมาสที่ 1 เติบโต 3.2% (ดีกว่าปีที่แล้ว) และไตรมาสที่ 2 เติบโต 2.8% ทำให้ค่าเฉลี่ยครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3% โดยแนวโน้มคาดว่าไตรมาสที่ 3 จะลดลงเหลือประมาณ 1.7% และไตรมาสสุดท้ายเหลือเพียง 0.3% สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ประเทศไทยเหมือนรถที่ติดหล่ม
โดยปัญหาการเติบโตต่ำนี้มีอาการมาเป็นเวลา 10 ปี โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของ GDP ประมาณ 2% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ซึ่งอันดับในอาเซียนประเทศไทยเคยเป็น"ดาวรุ่ง"และเคยอยู่ในอันดับ 3 หรือ 4 ในอาเซียน แต่ล่าสุดเราอยู่ในอันดับ 6 การเปรียบเทียบกับเวียดนามในไตรมาสที่ 2 ที่ไทยโต 2.8% เวียดนามเติบโตกว่า 8% และไตรมาสที่ 3 เวียดนามอยู่ที่ 7% และไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 8.23% ในขณะที่ไทยคาดการณ์ที่ 1.7% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความห่างยิ่งนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ปัญหาเชิงโครงสร้างและกับดักที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ นอกเหนือจากความท้าทายระดับโลก (Global Challenges) เช่น การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า (Trade War) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นกับดัก (Structural Challenges) แบ่งเป็น
1. กับดักสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ไทยมีผู้สูงอายุเกิน 60 ปี (ที่ไม่ได้อยู่ในวัยทำงาน) ประมาณ 14 ล้านคน หรือคิดเป็น 21% ของประชากรทั้งหมด อัตราเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่าผู้เสียชีวิตในปีที่แล้ว โดยจุดแข็งในอดีตคือการมีแรงงานเยอะและราคาถูก แต่ปัจจุบันเราไม่มีแล้ว
2. กับดักด้านโครงสร้างกฎหมาย ประเทศไทยมีกฎหมายมากกว่าแสนฉบับ ซึ่งไม่ได้เป็นคุณ แต่กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากฎหมายที่ล้าสมัยและมีมากเกินไป นำไปสู่ปัญหาการทุจริต
3. กับดักรายได้ปานกลาง ประเทศไทยเคยเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรม (รายได้ต่ำ) มาสู่ภาคอุตสาหกรรม (รายได้ปานกลาง) แม้จะมีการย้ายฐานการผลิตมา แต่ประเทศไทยส่วนใหญ่ยังเป็น OEM หรือ การรับจ้างผลิต ซึ่งโมเดล OEM นี้ทำให้ส่วนแบ่งรายได้ส่วนเหลือแคบลง เนื่องจากค่าแรงและต้นทุนต่าง ๆ แพงขึ้น
4. ปัญหาภาคการเกษตร โดยจำนวนคน 1 ใน 3 ของประเทศอยู่ในภาคการเกษตร แต่สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศเพียงประมาณ 7-8% เท่านั้น
5. ปัญหางบประมาณไม่สมดุล โดยฐานผู้เสียภาษีมีเพียง 4 ล้านคน จากประชากรกว่า 60 ล้านคน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้งบประมาณเกิดความสมดุล
6. ระบบการศึกษา ที่ต้องมีการปฏิรูป เพราะบุคลากรที่ผลิตออกมาไม่สอดคล้องกับวิชาชีพหรือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับ 8 ข้อผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แบ่งเป็น 1. มาตรการตอบโต้ภาษีสหรัฐ แม้ไทยจะปิดเจรจาภาษีได้ 19% แต่ยังมีปัญหาเรื่องการเจรจาเกี่ยวกับ Local Content (RVC) และ Transhipment (การสวมสิทธิ์) ที่ยังไม่จบ 2. ผลกระทบทางอ้อม จาก Trade War สินค้าจีนที่เคยเข้าสหรัฐฯ ไหลกลับมาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยประเทศไทยโดนหนักที่สุด เนื่องจากสินค้าทะลักเข้ามามาก ทำให้สินค้าไทยต่อสู้ไม่ได้และต้องปิดกิจการจำนวนมาก
3. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 4. ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยความขัดแย้งส่งผลกระทบต่อการค้า (ปีที่แล้วมูลค่า 180,000 ล้านบาท) ทำให้ Supply Chain โรงงานต่าง ๆ ได้รับผลกระทบ และค่าใช้จ่ายสูงมาก 5. หนี้ภาคครัวเรือน อยู่ในระดับสูงมาก แม้จะลดลงจาก 90% ของ GDP เหลือประมาณ 87-88% แต่เมื่อรวมหนี้นอกระบบเป็น 104% ถือเป็นสาเหตุที่กำลังซื้อหายไป
6. ค่าเงินบาทแข็ง สหรัฐฯ ใช้นโยบายทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า แต่ค่าเงินบาทของไทยกลับแข็งกว่าเพื่อนบ้าน โดยเคยแข็งขึ้นไปกว่า 7% เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย ปัจจุบันดีขึ้นเหลือราวกว่า 5% แต่การแข็งค่านี้ทำให้ภาคการส่งออก (60% ของ GDP) และภาคการท่องเที่ยว (10% กว่า) แข่งขันไม่ได้ การแข็งค่าของเงินบาททำให้เกิดผลกระทบเป็นมูลค่าประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท โดยภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าเป้าหมายที่ 40 ล้านคน โดย 9 เดือนแรกเหลือเพียง 20 กว่าล้านคน ต่ำกว่าเป้าไปประมาณ 7-8% และเม็ดเงินที่ได้รับก็ลดลง
7. การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change) และ 8. เสถียรภาพทางการเมือง ที่ไม่สม่ำเสมอและไม่ต่อเนื่อง
สำหรับการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย แม้จะมีปัญหามากมาย แต่ก็มีโอกาส เช่น การลงทุนที่ดีขึ้น การย้ายฐานการผลิต เช่น PBC, Data Center, Cloud Service และ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามาในประเทศไทย ช่วยให้ยอดส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่โรงงานที่ปิดกิจการเกือบ 100% เป็นของคนไทยล้วนๆ ดังนั้น ต้องดูแลโครงสร้างนี้ให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเหมือนหลอกตัวเอง
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การปรับตัว (Transformation) ของภาคอุตสาหกรรม โดย ส.อ.ท. มี 48 กลุ่มอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industry) กลุ่มล่าสุดคือ อุตสาหกรรมอากาศยานและอวกาศ โดย 47 กลุ่มเดิมได้รับผลกระทบจาก Digital Disruption การปรับตัวต้องเปลี่ยนผ่านจาก OEM ไปสู่ ODM หรือการออกแบบเอง เพื่อเพิ่มมูลค่า และเป็น OBM ที่มีแบรนด์ของประเทศ การใช้แรงงานเข้มข้น ไปสู่การใช้แรงงานที่มีทักษะสูงและการใช้เครื่องทุ่นแรง (Automation, Robert)
ขณะที่ ส.อ.ท. มีนโยบายขับเคลื่อน 4GO คือ 1. Go Digital & AI โดยการใช้ AI เป็นตัวแก้โจทย์สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความสูญเสีย และเพิ่มความแม่นยำ โดยเฉพาะในสังคมผู้สูงอายุ ส.อ.ท. ตั้งเป้าหมายจะทรานส์ฟอร์มสมาชิกอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง หรือ 8,000 กิจการ ภายใน 3-5 ปี 2. Go Innovation ปรับวิธีคิดไปสู่อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพื่อให้สามารถ "ทำน้อยได้มาก"
3. Go Global หาตลาดใหม่สำหรับการส่งออก ที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไป ซึ่งคิดเป็น 18.4% ของการส่งออกทั้งหมด และ 4. Go Green ดูแลสิ่งแวดล้อม และปรับให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero Road Map ที่ขยับเร็วขึ้น 15 ปี เป็น 2050 เพื่อให้ทันกับลูกค้าหลัก (สหรัฐฯ, EU, ญี่ปุ่น, เกาหลี) อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next Generation Industry) โดยใช้จุดแข็งของประเทศด้าน Biodiversity (ความหลากหลายทางชีวภาพ) และภาคเกษตรกรรมในการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม มุ่งเน้น BioTech, Bio-based, Agro-based Industry ขับเคลื่อนด้วย BCG และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สำหรับข้อเสนอต่อภาครัฐ ส.อ.ท. ต้องการภาครัฐที่มีความชัดเจนและมีเป้าหมายที่ชัดเจน เหมือนอย่างที่ประเทศจีนทำ อาทิ 1. ความชัดเจนในเป้าหมาย โดยกำหนดความชัดเจนว่าจะไปในทิศทางใดในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 2. การแก้ไขกฎหมาย โดยทำให้กฎหมายง่ายและสะดวกขึ้น ลดต้นทุน และลดการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน 3. Local Content โดย ส.อ.ท.ผลักดันโครงการ Make in Thailand เพื่อให้ภาครัฐ ที่มีงบจัดซื้อจัดจ้างปีละล้านล้านบาท ซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศเป็นหลัก
4. เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าและปรับยุทธศาสตร์กระจายตลาดส่งออก 5. การลงทุนการสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรางถนนท่าเรือการบริหารจัดการน้ำและอื่นๆ 6. คนพัฒนาแล้วก็การศึกษาและส่งเสริมการอัพสกิลลิส skill New Skill และ ifelong Learning หาหลักสูตรที่ชัดเจนในการผลิตบุคลากรให้เพียง