KEY
POINTS
วันนี้ (8 ตุลาคม 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 และกล่าวปาฐกถาพิเศษ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีผู้บริหารระดับสูงขององค์กรภาครัฐ และเอกชนเข้าร่วมงานจำนวนมาก
นายอนุทิน กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลขอแรงภาคเอกชนช่วยกันรีเซตโครงสร้างประเทศไทยใหม่ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยกลับมาเป็นประเทศผู้นำทางด้านเศรษฐกิจของอาเซียนให้ได้ โดยส่วนตัวมีความเชื่อมั่นว่า ด้วยพื้นฐานที่ดีของระบบเศรษฐกิจไทย โครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิต เกษตรกรรม รวมทั้งการมีพื้นที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีความได้เปรียบกว่าหลายประเทศ จะทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคได้
“ตอนนี้เราตามเวียดนามแล้ว นี่เป็นฝันร้ายของตัวเอง เพราะไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะต้องมีเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าประเทศในภูมิภาค ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกันรีเซต โดยอาศัยจากสิ่งที่เรามีโครงสร้างที่ดีอยู่แล้ว กระโดดขึ้นมาทวงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้กลับคืนโดยเร็ว ซึ่งตัวเองผมมั่นใจว่าเรายังสามารถที่จะกลับมาได้” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศ หลังจากประชาชนกำลังตั้งคำถาม ว่าประเทศไทยจะไปทางไหนต่อ จะรอดหรือไม่จากสงครามทางการค้าที่เกิดขึ้น และปีหน้าจะเกิดวิกฤตอะไรอีก จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งตอนเองยืนยันได้ว่า มีเลือกตั้งแน่นอน เพราะต้องมีการยุบสภา
โดยปัจจุบันทุกประเทศกำลังเผชิญกับสงครามความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ การเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลต่ออนาคต รวมถึงการปฏิวัติเทคโนโลยีที่เรียกว่า AI ที่กำลังเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจของโลก ทำให้ประเทศที่ปรับตัวช้า ไม่เพียงแต่สูญเสียทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสูญเสียอำนาจต่อรองในเวทีโลกด้วย
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมาคุยถึงเรื่องการรีเซ็ตโครงสร้างประเทศใหม่ เพื่อปรับระบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์อนาคต และวางรากฐานใหม่เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไป โดยรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม รวมไปถึงการต่างประเทศ โดยต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบาย เปลี่ยนวิธีคิด วิธีการทำงาน และวิธีบริหารความร่วมมือเข้าด้วยกัน
ด้านแรก รีเซ็ตด้านความมั่นคง สร้างความมั่นคงของประเทศ ทั้งภายนอก และภายใน ล่าสุดรัฐบาลกำลังแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้ทั้งการทูต ทหาร และพลังทางเศรษฐกิจ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่ชีวิตประชาชน เปลี่ยนความตึงเครียดให้กลับมาเป็นความร่วมมือในอนาคต พร้อมกับจัดการกับปัญหาภัยสังคมที่กัดกร่อนประเทศควบคู่กันไปด้วย พร้อมปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นต้นทุนแฝงอยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ต่อมาคือ รีเซ็ตเศรษฐกิจ รัฐบาลมุ่งเน้นการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ และส่งเสริมภาคเกษตรกร สนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีฟื้นตัว พร้อมกับเร่งมาตรการลดค่าครองชีพ ลดค่าพลังงาน ลดค่าขนส่ง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เป็นธรรม พร้อมเสริมความมั่นคงทางการเกษตร และพลังงานด้วยแนวทาง Smart farming การสนับสนุนพลังงานแสงอาทิตย์ภาคครัวเรือน และภาคการเกษตร และการควบคุมราคาสินค้าทางการเกษตรให้มีความเหมาะสม
ล่าสุดรัฐบาลได้ออกโครงการคนละครึ่งพลัส และเติมเงินลงในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะอัดฉีดวงเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจกว่า 100,000 ล้านบาท ตามนโยบายเศรษฐกิจเฉพาะกิจ เน้นการกระตุ้นระยะสั้นได้ผลยาว และเกิดการกระจายตัว รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมรับสังคมสูงวัย ซึ่งรัฐบาลได้จัดให้มีระบบด้านการสาธารณสุข เพื่อการดูแลสุขภาพให้ได้ทุกช่วงวัย และมีการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกไว้รองรับคนทั้งมวลด้วย
“รัฐบาลพยายามวางรากฐานให้เศรษฐกิจมั่นคงแข็งแกร่ง ให้มีการกระจายรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งรัฐบาลจะใช้เวลา 4 เดือนที่รัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มที่ในการวางแนวทางและรากฐานที่ดี เพื่อที่รัฐบาลชุดต่อไปที่เข้ามา สามารถเดินหน้าต่อยอดได้เลย ซึ่งจะมีมาตรการเฟส 1 เฟส 2 เตรียมไว้อยู่ รวมถึงเรื่องท่องเที่ยวด้วย”
ส่วนงบประมาณที่ใช้ในแต่ละโครงการมีเพียงพอหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนยึดถือวินัยการเงินการคลังสำคัญที่สุด ไม่ใช่เราใช้เงินไปแจกประชาชนทั้งหมด แต่เราให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย ซึ่งรัฐก็สามารถนำงบประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาทไปชำระหนี้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส. ได้ ซึ่งเป็นการรักษาวินัยการเงินการคลังเป็นที่ประจักษ์ชัด และทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลนี้มีเป้าหมายที่สำคัญในการรักษาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลตั้งเป้าหมายสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ โดยกำหนดเป้า Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ 0% ภายในปี 2050 พร้อมจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตทีมีมาตรฐาน และการออกกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.จัดการอากาศสะอาด และ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อความยั่งยืนตามหลัก SDG ด้วย