กางตัวเลขต่อหน้า 'เอกนิติ' ชี้สาเหตุ 'ความสามารถแข่งขันไทย' รั้งท้ายอาเซียน

08 ต.ค. 2568 | 08:55 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ต.ค. 2568 | 09:33 น.

4 องค์กรกางทุกตัวเลขต่อหน้า 'รองนายกฯเอกนิติ' ชี้ เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับต่ำ ขีดความสามารถการแข่งขันลดต่อเนื่อง ปัญหาคอร์รัปชันรุนแรง ระบบราชการซับซ้อน กฎหมายที่ล้าสมัย

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนชี้ปัญหาคอร์รัปชัน ระบบราชการที่ซับซ้อน และกฎหมายที่ล้าสมัย เป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่รุนแรงที่สุดซึ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
  • เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักจากประสิทธิภาพของภาครัฐและปัญหาเชิงโครงสร้าง
  • ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันของไทยตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงถึง 104% ของ GDP และฐานผู้เสียภาษีที่แคบเป็นวิกฤตสำคัญ
  • ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลเร่งปฏิรูปกฎหมายที่ล้าสมัยอย่างจริงจัง และปราบปรามการทุจริตให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อปลดล็อกศักยภาพการเติบโตของประเทศ

ในงาน "เวทีสาธารณะด้านหลักนิติธรรม ครั้งที่ 3 (The Third Rule of Law Forum)" ภายใต้หัวข้อ "ความพร้อมของกลไกเชิงสถาบันกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ" ซึ่งจัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ภาคเอกชนชั้นนำของประเทศได้ร่วมกันวิเคราะห์เชิงปฏิบัติการและประเมินศักยภาพการปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบันของประเทศไทยอย่างเจาะลึก โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นั่งฟังอยู่ด้านหน้าเวที

โดยมีข้อสรุปที่น่ากังวลว่า ปัญหาคอร์รัปชันและระบบราชการที่ซับซ้อน ได้กลายเป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่รุนแรงที่สุด ที่กัดกินเศรษฐกิจและทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอย่างถึงที่สุด

หอการค้าไทย ชี้ปัญหาคอร์รัปชันรุนแรงกระทบความเชื่อมั่น

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะปัญหาคอร์รัปชันและระบบราชการที่ซับซ้อน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบรรยากาศการลงทุน

ดร.พจน์ระบุว่า ปัญหาคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่มาก สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วง 5 ปีหลังนี้ นักลงทุนจีนได้เข้ามาในไทยเป็นจำนวนมาก และถือเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ หอการค้าต่างประเทศทั้ง 38 แห่งที่ร่วมกับหอการค้าไทย ต่างส่งเสียงร้องเรียนมาตลอดเวลาว่า พบอุปสรรคในการดำเนินงานในประเทศไทยเกี่ยวกับระบบของข้าราชการและระบบระเบียบต่างๆ ซึ่งเปิดช่องให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์หรือการคอร์รัปชัน

กางตัวเลขต่อหน้า 'เอกนิติ' ชี้สาเหตุ 'ความสามารถแข่งขันไทย' รั้งท้ายอาเซียน

ดร.พจน์ตั้งข้อสังเกตว่า ภาพลักษณ์คอร์รัปชันของประเทศไทยมีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากดูจากดัชนีชี้วัดต่างๆ โดยล่าสุดดัชนีที่เกี่ยวกับคอร์รัปชัน (CBI, หรือดัชนีที่คล้ายกัน) ของไทยตกลงมาอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี โดยได้คะแนนเพียง 4 คะแนน สถานการณ์นี้ทำให้อันดับของไทยต่ำกว่าประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเคยมีอันดับต่ำกว่าไทยมาก่อน หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข บรรยากาศการลงทุนจะไม่ดีแน่นอน

ปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบราชการ

ดร.พจน์มองว่า โครงสร้างและสถาบันของไทยส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ โดยกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนต่างๆ จำนวนมากนั้นล้าสมัย และหลายส่วนมีความซ้ำซ้อน แม้ว่าภาคเอกชนจะเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการยกเลิกกฎหมายที่ซ้ำซ้อนมานานหลายรุ่นแล้ว แต่ก็ได้ผลเพียงส่วนน้อยมาก กฎหมายที่ซ้ำซ้อนเช่นนี้เปรียบเสมือนเป็นชั้นที่สองที่ทำให้เกิดการทุจริต ซึ่งได้ฝังรากลึกไปจนถึงระดับล่าง

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ ภาคราชการขนาดใหญ่ยังมีหลายขั้นตอน หลายตอน และมีการเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน การขออนุญาตเปิดโรงงานเพียงแห่งเดียวต้องผ่านขั้นตอนที่ถือว่า "มหาศาล"

ข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนประเทศ

1. เสถียรภาพและความต่อเนื่องของนโยบาย

ดร.พจน์ยอมรับว่าการเมืองในช่วงหลังไม่นิ่งเลย ซึ่งทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจในการลงทุน และไม่เห็นความต่อเนื่องของนโยบาย ประเทศไทยควรมี "นโยบายแห่งชาติ" (National Policy) ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลใดจะเข้ามาบริหารก็ต้องดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง

2. การปราบปรามคอร์รัปชันอย่างจริงจัง

การปราบปรามคอร์รัปชันอย่างจริงจังควรเป็นนโยบายแห่งชาติ และต้องใช้ หลักนิติธรรม (Rule of Law) และหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ในการต่อต้านคอร์รัปชัน ท่านเชื่อว่ากฎหมายต่างๆ เช่น ของ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. มีครบหมดแล้ว แต่ไม่มีใครบังคับใช้ สิ่งที่จำเป็นคือ ขอให้อาจริงเอาจัง กับการบังคับใช้กฎหมาย และกับผู้ปฏิบัติกฎหมายด้วย

3. การปฏิรูปการศึกษาและองค์ความรู้

การพัฒนาการศึกษาและการเพิ่มองค์ความรู้ให้แก่ประชาชนก็ควรเป็นนโยบายแห่งชาติที่ต้องทำต่อเนื่องเช่นกัน

4. หลักยุติธรรมในการบริหาร

ทุกองค์กรในประเทศควรขาดหลักยุติธรรมในการบริหารองค์กร และในการทำงานทั้งหมด

บทบาทของหอการค้าไทย

หอการค้าไทยได้ร่วมก่อตั้งองค์กรต้านคอร์รัปชันมา และในปัจจุบัน หอการค้าไทยได้ตั้งเป้าหมาย 2 ปี คือ "unlocking growth" (การปลดล็อกเพื่อการเติบโต) โดยมีหัวข้อสำคัญหนึ่งคือ การต่อต้านคอร์รัปชัน

"ผู้ที่จ่ายเงินคอร์รัปชันส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเอกชน และเน้นย้ำว่าหากภาคเอกชนไม่กล้าเรียกร้องหรือผลักดันเรื่องนี้ ปัญหาจะดำเนินต่อไปแน่นอนหอการค้าไทยยังได้ร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันต่างๆ รวมถึง C4 และมีการแจก รางวัลจรรยาบรรณของหอการค้าไทย เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนธุรกิจที่ไม่สนับสนุนคอร์รัปชัน นอกจากนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจหอการค้าไทยจะนำรายงานการศึกษาตัวเลขคอร์รัปชันในช่วง 4 ปีหลังมาเปิดเผย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เห็นแล้ว "น่ากลัวมาก"จึงขอเรียกร้องให้เหยื่อของสังคมจากการคอร์รัปชันเองก็ควรหัดเรียกร้องหรือปกป้องตัวเองบ้าง" ดร.พจน์ กล่าว

สภาอุตฯ ชี้ปัญหาเชิงโครงสร้าง-คอร์รัปชัน คือแกนกลางวิกฤตเศรษฐกิจไทย

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) ได้กล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ โดยระบุว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกถือเป็น "Global Challenge" เช่น ปัญหาด้านเทคโนโลยี , ภูมิรัฐศาสตร์ , และความสับสนในการผลิต

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ "ปัญหาซ้อนปัญหา" ซึ่งเป็นประเด็นใกล้ตัว 8 เรื่อง ที่ได้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและทีมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI)

8 ปัญหาเร่งด่วนที่ภาคเอกชนเผชิญ

1. มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ และสงครามการค้า: แม้จะมีตัวเลข 19% ออกมาแล้ว แต่ยังไม่ยุติ โดยยังมีประเด็นเรื่อง RVC (Regional Value Content), Local Content, และ Transshipment ที่ต้องมีความชัดเจน.

2. ปัญหาการทุ่มตลาด: จากผลของ Trade War ทำให้สินค้าเปลี่ยนกระแสและเริ่มทุ่มตลาดเข้ามาในตลาดใหม่ โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดนหนักมาก และ ประเทศไทยโดนหนักที่สุด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของ SMEs.

3. ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์: ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและมหาอำนาจที่เป็นคู่ค้าสำคัญ อันดับ 1 และ อันดับ 2 ทำให้ต้องพิจารณาจุดยืนอย่างชัดเจน.

4. ปัญหาการค้าชายแดน: โดยเฉพาะไทย-กัมพูชา ซึ่งในปี 2567 มีมูลค่าการค้า 180,000 ล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้าประมาณ 100,000 ล้านบาทต่อปี (ไทยส่งออก 140,000 กว่าล้าน, นำเข้า 30,000 กว่าล้าน). ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ แม้จะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกี่ยวกับความมั่นคงและอธิปไตย

5. ภาระหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ: หนี้ภาคครัวเรือนรวมหนี้นอกระบบอยู่ที่ 104% ของ GDP ทำให้กำลังซื้อหายไป. ส่วนหนี้ธุรกิจ โดยเฉพาะ SME ที่มีวงเงินกู้ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ตัวเลข NPL ล่าสุดพุ่งสูงไปถึง 7.62% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและเติบโตเร็วกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยต้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังเข้ามาดูแล

6. ค่าเงินบาทแข็ง: เป็นปัญหาใหญ่เนื่องจาก 60% ของรายได้ประเทศ (GDP) มาจากการส่งออก และกว่า 10% มาจากภาคท่องเที่ยว ดังนั้นค่าเงินบาทแข็งจึงไม่เป็นผลดีต่อการหารายได้เข้าประเทศ

7. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ไข และ 8. ความไม่แน่นอนและเสถียรภาพ

กางตัวเลขต่อหน้า 'เอกนิติ' ชี้สาเหตุ 'ความสามารถแข่งขันไทย' รั้งท้ายอาเซียน

ปัญหาเชิงโครงสร้าง 5 ข้อ: หัวใจที่อยู่ตรงกลาง

ภายใต้ปัญหา 8 ข้อดังกล่าว นายเกรียงไกร ชี้ว่ามีปัญหาเชิงโครงสร้าง 5 เรื่องที่ถือเป็นหัวใจและเป็น "ปัญหาซ้อนปัญหา" ของประเทศ

1. การเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society): ณ เดือนกันยายน มีประชากรกว่า 21% หรือประมาณ 14 ล้านคน เข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่

2. ปัญหาประเทศรายได้ปานกลาง: อุตสาหกรรมที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นแบบ OE (Original Equipment) ซึ่งมีมูลค่าเพิ่ม (Value Add) น้อย ปัจจุบันรายได้ต่อหัวต่อปีอยู่ที่เพียง 7,500 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ต้องไปให้ถึง 13,000 เหรียญฯ เพื่อก้าวสู่ประเทศที่มีรายได้สูง

3. ระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้อง: ระบบการศึกษาปัจจุบันไม่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทำให้ผู้ที่เรียนจบมาไม่มีงานทำและไม่สามารถรองรับอุตสาหกรรมใหม่ได้

4. งบประมาณไม่สมดุล: ฐานการเก็บภาษีแคบ โดยมีผู้จ่ายภาษีเพียง 4 ล้านคน เพื่อเลี้ยงดูประชากรกว่า 60 ล้านคน

5. การคอร์รัปชัน ระบบราชการ และกฎหมายล้าสมัย: นายเกรียงไกร เน้นย้ำว่านี่คือ แกนกลางและปัญหาใหญ่ที่สุด. อ้างอิงจาก World Justice พบว่าเกิดภาวะถดถอยของหลักนิติธรรม (recession of R of law) มาหลายปีแล้ว

เศรษฐกิจเติบโตต่ำ และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง

นายเกรียงไกร กล่าวเสริมว่าดัชนีการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นควบคู่ไปกับหลักนิติธรรม (Rule of Law) ของประเทศนั้นๆ. ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นดาวรุ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังมีสภาพ "ยับยู่ยี่" ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2015)

  • การเติบโต GDP: ค่าเฉลี่ยการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ โดยไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 2.8% และไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 3.2% แต่มีการคาดการณ์ว่าไตรมาสที่ 3 จะเหลือ 1.7% และไตรมาสสุดท้ายจะเหลือ 0.3%
  • ค่าเฉลี่ยทั้งปี: คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า GDP เฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 1.8% ถึง 2.2%
  • ขีดความสามารถในการแข่งขัน: อันดับลดลง 5 อันดับล่าสุด โดยสาเหตุหลักมาจาก 4 เสาหลัก ได้แก่ ประสิทธิภาพของภาครัฐ, ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure), และประสิทธิภาพของภาคเอกชนที่ลดลง
  • คอร์รัปชันเป็น New Normal: นายเกรียงไกร แสดงความกังวลว่า การคอร์รัปชันได้กลายเป็น "New Normal" หรือถูกมองว่าเป็น "Soft Power" ของประเทศ ซึ่งมีการจ่ายเงินแบบไม่เปิดเผยจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ

ข้อเสนอแนะและการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน

ในการแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพของประเทศ นายเกรียงไกร เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำ "กิโยตินกฎหมาย" เพื่อปรับปรุงกฎหมายที่ซับซ้อน แม้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและใช้เวลานาน แต่การปฏิรูปเพียงเล็กน้อยก็ให้ผลตอบแทนสูง

  • จากการศึกษาพบว่า เพียงแค่การทำกระบวนงานให้เสร็จ 1,000 กว่ากระบวนงาน จะสามารถเพิ่ม GDP ในปีนั้นได้ถึง 0.8%. หากสามารถลดกฎหมายจากแสนกว่าฉบับให้เหลือเพียงเล็กน้อย ประเทศจะ "พุ่งกระฉูด".
  • กกร. ได้ประกาศจุดยืน "ไม่ทน" ต่อปัญหาการคอร์รัปชัน.
  • ทฤษฎี 3 ขาของคอร์รัปชัน ประกอบด้วย 1. หน่วยงานภาครัฐ (การเมือง) 2. ข้าราชการประจำ และ 3. ผู้จ่ายเงิน (ภาคเอกชน). ภาคเอกชนในฐานะผู้จ่าย มี 8 มาตรการที่จะพยายามดำเนินการให้ดีที่สุด

นายเกรียงไกร ยกตัวอย่างประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามว่า ได้ปรับตัวโดยการลดกระบวนการของกระทรวงต่างๆ และลดรายจ่ายประจำ เพื่อให้มีงบประมาณไปพัฒนาประเทศมากขึ้น โดยเวียดนามมองมาที่ประเทศไทยและกล่าวว่า "ไม่อยากเป็นแบบประเทศไทย" หากประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันได้ จะสามารถแข่งขันได้อย่างแน่นอน


ปธ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ จี้เร่งรัฐบาลทุบกฎหมาย 30 ปีที่ค้างคาให้สำเร็จใน 4 เดือน

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ออกมาเน้นย้ำถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการเติบโตของประเทศไทย โดยระบุว่า "ความล่าช้าของกฎหมาย" เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างรุนแรง พร้อมเสนอให้รัฐบาลใช้ "Omnibus Law" และการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อสร้างความสำเร็จภายใน 4 เดือนนี้

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ความล่าช้าของกระบวนการทางกฎหมาย: อุปสรรคต่อตลาดทุน

ศ.พิเศษกิติพงศ์ ชี้ให้เห็นถึงความล่าช้าของกระบวนการออกกฎหมายในปัจจุบันว่า

  • กระบวนการล่าช้า: การออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แต่ละฉบับของไทยใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 18-20 เดือน ตั้งแต่เริ่มร่างจนผ่านกระบวนการ
  • ตัวอย่างเฉพาะหน้า: แม้แต่การแก้ไขกฎกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวกับเรื่องง่ายๆ ในตลาดทุนอย่าง การซื้อหุ้นคืน (Share Repurchase) ซึ่งเป็นเพียงการนำเงินของบริษัทมาซื้อหุ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทนต่อการลงทุน (Return on Investment) กลับใช้เวลานานถึง 8 เดือน กว่าจะผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทำให้บริษัทต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เนื่องจากดัชนีตลาดทุนมีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
  • การปฏิรูปที่ล้มเหลว: โครงการ "กิโยตินกฎหมาย" เพื่อยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลาประมาณ 8 ปี ประสบความสำเร็จในการแก้ไขเพียง 10% เท่านั้น โดยสาเหตุหลักมาจากแนวคิดที่ต้องขอความเห็นจากทุกกระทรวง ทำให้กระทรวงใดที่โต้แย้งเข้ามา การดำเนินการก็ต้องหยุดชะงักลง

ข้อเสนอการเร่งรัดปฏิรูป: ต้อง "ทุบ" และใช้ Omnibus Law

  • ศ.พิเศษกิติพงศ์ เน้นย้ำว่าหากรัฐบาลมีความจริงจัง การแก้ไขกฎหมายระดับรองสามารถทำได้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน โดยไม่ต้องใช้เวลานานถึง 7 ปี โดยต้องอาศัย "Political Will" ที่จะทำ
  • อำนาจของนายกรัฐมนตรี: ท่านนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าจะ "ทุบ" หรือดำเนินการโดยไม่จำเป็นต้องขอความเห็นจากทุกฝ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
  • ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง: หากสามารถยกเลิกหรือตัดทอนกฎหมายที่ซ้ำซ้อนจากเกือบแสนฉบับและใบอนุญาตกว่า 7,000 ใบ จะสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ใช้โมเดล Omnibus Law: ศ.พิเศษกิติพงศ์ เสนอให้ใช้กลไกแบบ Omnibus Law ที่ประสบความสำเร็จในอินโดนีเซีย (สมัยประธานาธิบดีโจโควี) ในการแก้กฎหมายกว่า 200 ฉบับในพระราชบัญญัติฉบับเดียว หากรัฐบาลและพรรคการเมืองถือว่าเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ (Agenda) ก็สามารถเสนอเป็น พ.ร.บ. ผ่านรัฐสภาให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน ได้
  • กระทรวงหลักต้องนำร่อง: แม้กฎหมายตลาดทุนจะพร้อมแก้ไขแล้ว แต่กระทรวงหลักที่มีปัญหามากที่สุดคือ กระทรวงมหาดไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีเอง และควรนำร่องการปฏิรูป

กางตัวเลขต่อหน้า 'เอกนิติ' ชี้สาเหตุ 'ความสามารถแข่งขันไทย' รั้งท้ายอาเซียน

วิกฤตฐานภาษี: ภาระหนักที่กระจุกตัว

ศ.พิเศษกิติพงศ์ ชี้ว่าอีกปัญหาที่เป็นหัวใจสำคัญคือโครงสร้างภาษีที่ไม่สมดุล โดยมีผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ยื่นเสียภาษีเพียง 4 ล้านคน และปัญหาฐานภาษีที่แคบ

  • นิติบุคคลนอกระบบสูง: จากบริษัทที่จดทะเบียนทั้งหมด 9 แสนราย มีที่ยื่นเสียภาษีเพียง 300,000 ราย และมีที่เสียภาษีจริงเพียง 100,000 ราย เท่านั้น
  • ตลาดหลักทรัพย์แบกรับภาระ: บริษัทจดทะเบียนหลักทรัพย์ประมาณ 800 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีส่วนในการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงถึง 30% ของทั้งหมด

ข้อเสนอการปฏิรูปการคลัง: ดึงคนเข้าสู่ระบบด้วย e-Filing และบัตรภาษี

เพื่อแก้ไขปัญหาฐานภาษีแคบและทัศนคติที่มองว่าการเสียภาษีเป็นภาระ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เริ่มเสนอโครงการปฏิรูปครั้งใหญ่

  • e-Filing ภาคบังคับ: ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการเริ่มระบบ e-Filing โดยเชิญชวนให้บริษัทจดทะเบียนทั้ง 800 กว่าบริษัท และบริษัทในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ยื่นเสียภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด
  • แรงจูงใจสำหรับผู้เสียภาษี: รัฐบาลควรเพิ่มรายได้และมอบผลประโยชน์แก่ผู้ที่เข้าสู่ระบบ เช่น การคืนภาษีได้รวดเร็ว การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ไม่ต้องเสียภาษีในช่วงเริ่มต้น หรือการออก "บัตรภาษี" (Tax Card)
  • บัตรภาษี (Tax Card): บัตรนี้จะออกให้แก่ผู้ที่เข้าสู่ระบบภาษี สามารถนำไปใช้ในการชำระภาษีได้หลายประเภท เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีเงินได้นิติบุคคล, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), และภาษีสรรพสามิต แถมยังสามารถโอนหรือขายต่อได้หากไม่ต้องการใช้
  • VAT และเงินช่วยเหลือ: หากมีการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 10% (ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มเกือบ 200,000 ล้านบาท) รัฐบาลต้องมีการกำหนดระบบการติดตาม (Tracking System) ที่ชัดเจน เพื่อนำเงินไปใช้ช่วยเหลือและพัฒนาด้านสำคัญ เช่น สังคมสูงวัย การศึกษา และสุขภาพ

"การปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่พยายามทำมาตลอดชีวิตก็ยังไม่เคยประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 จนถึงวันนี้ การผลักดันให้การแก้ไขกฎหมายและโครงสร้างภาษีสำเร็จภายใน 4 เดือนนี้ จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลชุดปัจจุบัน" ศ.พิเศษกิติพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

สมาคมธนาคารไทย กางทุกตัวเลข ชี้เศรษฐกิจไทย 'สาหัสจริง ๆ'

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย (TBA) ได้กล่าวแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยระบุว่าการเติบโตของประเทศอยู่ในภาวะที่ "สาหัสจริง ๆ" และชี้ว่าประเทศไทยไม่สามารถหลุดจากกับดักการเติบโตที่ต่ำกว่าศักยภาพมาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมองไปในอนาคต ประเทศไทยมีการเติบโตที่ "ต่ำที่สุดในภูมิภาค"  และคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ประเทศไทยถูกแซงหน้าไปเรื่อย ๆ

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย (TBA)

วิกฤตเชิงโครงสร้างและผลิตภาพที่ทรุดตัว

นายผยง ได้เน้นย้ำถึงปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการที่กัดกินเศรษฐกิจไทย

1. สังคมสูงวัยและผลผลิต จำนวนประชากรสูงวัยได้ "พุ่งพรวด" (ดูเส้นสีฟ้า) ขณะที่วัยทำงานจะต่ำลงมหาศาล ส่งผลให้ ผลิตภาพ (Productivity) "ทรุดหัวทิ่มลง"

2. ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ 10% ของประชากรในประเทศ มีรายได้สูงถึง 52% ของรายได้รวมทั้งหมด

3. การพึ่งพาธุรกิจขนาดใหญ่ ภาคธุรกิจเพียง 1% ของผู้ประกอบการ มีส่วนสร้าง GDP ถึง 65% ในขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) สร้าง GDP เพียง 35% แต่มีการจ้างงานคิดเป็น 70% ของประเทศ

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ชี้ให้เห็นว่า การปิดกิจการมีมากกว่าการเปิดกิจการเป็นครั้งแรก โดยจำนวนการเปิดใหม่ "หัวทิ่มและติดลบ" ในขณะที่การปิดยังเพิ่มขึ้น 3.4%

วิกฤตหนี้ครัวเรือนและเศรษฐกิจนอกระบบ

ปัญหาหนี้เป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างหนัก เนื่องจากส่งผลต่อกำลังซื้อและเสถียรภาพทางสังคม

  • หนี้ครัวเรือนสุทธิ: หนี้ครัวเรือนที่แท้จริง (Householded) อยู่ที่ 103.7% หรือ 104% ของ GDP ตัวเลขนี้มาจากการศึกษาของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีหนี้นอกระบบเป็นองค์ประกอบสำคัญ
  • หนี้ของคนรุ่นใหม่: วัยทำงานที่เป็นอนาคตของประเทศ (Gen C และ Gen Y) เริ่มมีหนี้บานเบิกตั้งแต่หนี้บ้านและหนี้รถยนต์ และเมื่ออายุสูงขึ้น หนี้ก็กลายเป็น NPL มหาศาล เพราะพวกเขาไม่สามารถยังชีพได้ จึงต้องไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ
  • NPL ของธุรกิจรายเล็ก: ธุรกิจรายเล็ก (SE) ซึ่งจ้างงาน 70% ของประเทศ มี NPL สูงถึง กว่า 10% ยิ่งธุรกิจมีขนาดเล็กเท่าใด NPL ก็ยิ่งสูงตาม
  • เศรษฐกิจนอกระบบ: เศรษฐกิจนอกระบบของไทยอยู่ในกลุ่ม "Among the highest in the world" ด้วยสัดส่วนสูงถึง 48% ขณะที่แรงงานนอกระบบมีสัดส่วน 53%
  • ฐานภาษีที่แคบ: ผู้ที่ยื่นเสียภาษีมีเพียง 11 ล้านคน และผู้ที่เสียภาษีจริงมีเพียง 4 ล้านคน เท่านั้น ซึ่งต้องใช้เลี้ยงดูประชากรกว่า 60 ล้านคน

กางตัวเลขต่อหน้า 'เอกนิติ' ชี้สาเหตุ 'ความสามารถแข่งขันไทย' รั้งท้ายอาเซียน

ปัญหาตลาดทุนและประสิทธิภาครัฐ

นายผยงชี้ว่า แม้แต่ตลาดหลักทรัพย์ก็สะท้อนปัญหาการเติบโตที่ต่ำ โดย 65% ของบริษัทไทยในตลาดหลักทรัพย์มีค่า Price to Book (P/B) ต่ำกว่า 1 ซึ่งแปลว่า การลงทุนในประเทศไทยไม่ให้ผลตอบแทนที่พึงจะมี

นอกจากนี้ ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อรากฐานของประเทศมากที่สุดคือ ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government efficiency) ซึ่งอยู่ในระดับที่ ต่ำกว่าแม้กระทั่งมาเลเซียและเวียดนาม และปัญหาเกี่ยวกับ ระบบนิติธรรม (Rule of Law) หรือ "Justice for all" ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการอยู่ดีและสงบสุขในสังคม

นายผยงยกตัวอย่างถึงปัญหาการควบคุมเงินสีเทา โดยชี้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง เช่น ปปง., ร้านทอง, FX Booth, กรมศุลกากร, และ Crypto) ไม่เคยมีการ "เชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้เลย" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในระบบนิติธรรม

กางตัวเลขต่อหน้า 'เอกนิติ' ชี้สาเหตุ 'ความสามารถแข่งขันไทย' รั้งท้ายอาเซียน

Reinvent Thailand: การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล 4 เดือน

นายผยงแสดงความยินดีที่ได้รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่เน้นย้ำถึงการแก้ไขปัญหาและทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายใน 4 เดือน ภาคเอกชนจึงได้ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ "Reinvent Thailand" โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน

1. เวทีสาธารณะที่มีชีวิต: Reinvent Thailand ถูกสร้างขึ้นร่วมกับ Technical Agency ต่าง ๆ เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ถือเป็นเวทีสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพื่อขับเคลื่อนสุขภาพครัวเรือนและการเติบโตของประเทศ

2. โฟกัส 5 ภาคส่วนหลัก: เนื่องจากไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง ภาคเอกชนจึงสรุปว่าจะโฟกัสไปยัง 5 ภาคส่วน (5 key sectorial) ที่มีผลกระทบสูงสุดต่อ SME และการจ้างงาน

3. นโยบายขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven Policy): เน้นการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อให้เกิดความรู้ การตระหนักรู้ ความเข้าใจ และนำไปสู่ "ปัญญา" ที่จะเกิดการถกเถียงในเวทีสาธารณะ

การเผยแพร่ดัชนีสำคัญเพื่อสร้างความตระหนัก

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งมีสมาคมธนาคารไทยร่วมอยู่ด้วย จะดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภายนอกเพื่อ เผยแพร่ดัชนีสำคัญเป็นประจำ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเสนอแนวคิดที่เป็นรูปธรรม

  • ดัชนีคอร์รัปชัน (Corruption Index): จะทำร่วมกับสภาหอการค้าและมหาวิทยาลัยหอการค้า เพื่อสะท้อน Government efficiency (โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะกล้าเปิดเผยแม้จะมีแรงกดดันสูงก็ตาม)
  • ดัชนีหนี้นอกระบบ: จะทำงานร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามปัญหานี้
  • ดัชนีเศรษฐกิจนอกระบบ: เพื่อวัดขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบ (48%)

นายผยงกล่าวว่า การเผยแพร่ดัชนีเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการถกเถียงในเชิงสาธารณะ และเป็นการเสนอแนวคิดที่เป็นรูปธรรมจาก "เสียงจากภาคเอกชน" โดยที่ไม่ต้องเกรงกลัวต่อแรงเสียดทาน