KEY
POINTS
ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการ "คนละครึ่งพลัส" โดยอนุมัติงบประมาณถึง 44,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 20 ล้านคน สิ่งที่ประชาชนเฝ้ารอคือการ "พลัส" สิทธิประโยชน์ที่ใหญ่กว่าเดิม ทั้งวงเงินใช้จ่ายสูงสุด 2,400 บาท ต่อคน และการเพิ่มสิทธิ์ให้ใช้จ่ายสั่ง "ฟู้ดเดลิเวอรี" ได้ด้วย
ล่าสุดบริการฟู้ดเดลิเวอรี ยักษ์ใหญ่ของไทย ทั้ง Grab , Robinhood และ LINE MAN ขานรับนโยบายดังกล่าว โดยเชื่อมั่นว่าโครงการ คนละครึ่งพลัส จะช่วยแบ่งเบาภาระผู้บริโภค และกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า
นางมรกต ยิบอินซอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ผู้ให้บริการ Robinhood กล่าวว่าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ถือเป็นมาตรการสำคัญของภาครัฐในการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดย Robinhood จะเปิดให้ผู้ใช้งานทั้งร้านค้าและประชาชนสามารถใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” ได้สะดวกผ่านการสั่งอาหารและแอปพลิเคชัน
นอกจากประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับแล้ว การเข้าร่วมโครงการยังช่วย สร้างรายได้เสริมและขยายโอกาสให้ร้านค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและ SME ที่เป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้วยการเพิ่มจำนวนออร์เดอร์ ขยายฐานลูกค้าใหม่ และลดต้นทุนการทำการตลาด
“Robinhood ยึดมั่นในพันธกิจการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้แก่ผู้บริโภค ร้านค้า และไรเดอร์ เราพร้อมสนับสนุนโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ ของรัฐบาลอย่างเต็มที่ ไม่เพียงช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ยังช่วยให้ร้านค้ารายย่อยเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน ถือเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนไทยให้เติบโตไปด้วยกัน”
การเข้าร่วมโครงการนี้ยังสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Robinhood ที่มุ่งสร้าง Win-Win-Win Ecosystem ให้ผู้ใช้ ร้านค้า และไรเดอร์ เติบโตไปพร้อมกัน บนพื้นฐานของการเกื้อกูลและสร้างคุณค่าให้แก่สังคมไทย
ด้านนางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า Grab พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งร้านขนาดเล็กและขนาดกลางที่น่าจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลที่ Grab เคยสนับสนุนโครงการเมื่อสามปีที่แล้วพบว่าโครงการนี้สามารถสร้างผลเชิงบวกที่เป็นรูปธรรม โดยร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการในช่วงที่ผ่านมามียอดขายเติบโตขึ้นสูงสุดถึง 5 เท่า ทั้งนี้ Grab พร้อมร่วมผลักดันทั้งในรูปแบบของแคมเปญการตลาด การให้ส่วนลด หรือโปรแกรมแพ็คเกจเพื่อจูงใจร้านค้าต่างๆ
ขณะที่นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่าโครงการคนละครึ่งพลัส เป็นเรื่องดีสำหรับวงการร้านอาหารไทยที่ประสบปัญหายอดขายตกอย่างหนักโดยเฉพาะในปีนี้ โดยจากสถิติของ LINE MAN Wongnai พบว่ายอดขายเฉลี่ยของร้านอาหารทั่วประเทศไทยลดลงมาตั้งแต่ต้นปี โดยไตรมาส 2 ลดลงมากถึง -14% หากดูเฉพาะพื้นที่กรุงเทพ ยอดขายไตรมาส 2 ลดเยอะกว่าต่างจังหวัดด้วยคือ -16%, พื้นที่ย่านธุรกิจ (CBD) -19% และพื้นที่ยอดนิยมอย่างบรรทัดทอง ลดลงถึง -35%
ในฐานะที่ LINE MAN Wongnai เคยร่วมโครงการคนละครึ่งรอบที่แล้วมา โดยเป็นนโยบายที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง เราพบว่ายอดขายของร้านขนาดเล็กโตขึ้น 1.7-4 เท่าในช่วงนั้น และถ้าดูยอดขายจากเดลิเวอรีอย่างเดียวโตเฉลี่ย 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโครงการ
ส่วนตัวชอบโครงการลักษณะ co-payment ลักษณะนี้ เพราะคิดว่าเหมาะกับ SMB ขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่มีกำลังพอช่วยตัวเองได้บ้าง แต่ถ้ามี “แรงหนุน” เข้ามาช่วย จะทำให้ทุกคนคล่องตัวขึ้นได้ และมีกำลังใจในการทำให้ดีขึ้นในระยะยาว
ขณะเดียวกันยังป้องกัน fraud ได้ดีระดับหนึ่ง เพราะมีลักษณะ co-pay คือลูกค้าต้องออกด้วยครึ่งหนึ่ง ทั้งการใช้จ่ายไปยังร้านค้าที่ต้องลงทะเบียนจริง และสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจในระยะยาวกว่า เนื่องจากมีการจำกัดวงเงินรายวัน (ครั้งที่แล้ว 150 บาท) ดีกว่าเงินให้เปล่าที่อาจจะเกิดการใช้จ่าย (นอกระบบ) ครั้งเดียว วันเดียวจบ
“หากรัฐบาลมีอายุสั้นเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา การนำระบบไอทีเดิมที่เคยมีอยู่แล้วกลับมาใช้งาน ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในแง่ระยะเวลาการทำงาน ส่วนการยืนยันตัวตนร้านค้าที่อาจเปลี่ยนหน้าไปบ้างในช่วง 3-4 ปีที่ไม่มีโครงการคนละครึ่งพลัส ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีช่วยได้”
หากรัฐบาลจะทำโครงการนี้จริงๆ LINE MAN Wongnai มีข้อมูลร้านอาหารที่อัพเดตเป็นปัจจุบันอยู่แล้ว ก็ยินดียกข้อมูลนี้ให้ทั้งหมด เพื่อที่ร้านค้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลายืนยันตัวตนใหม่ครับ