อดีตปธ.ผู้แทนการค้า เตือนอย่าเสี่ยงทำประชามติ ยกเลิกMOU ไทย-กัมพูชา

30 ก.ย. 2568 | 08:55 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ก.ย. 2568 | 09:42 น.

เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ชี้ชัดการยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา เป็นอำนาจฝ่ายบริหาร ไม่ควรโยนให้ประชาชน เสี่ยงสร้างความขัดแย้ง - สับสน

หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ระบุว่ารัฐบาลจะจัดทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 ที่ไทยทำไว้กับกัมพูชาในประเด็นพรมแดนทางบกและทางทะเล การประกาศดังกล่าวสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ทั้งในมิติการเมือง ความมั่นคง และกฎหมายระหว่างประเทศ

นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ให้ความเห็นผ่านรายการ “ฐานทอล์ค” ช่องเนชั่นทีวี 22 ว่า MOU ทั้งสองฉบับสามารถยกเลิกได้ทันทีโดยอาศัยอำนาจของฝ่ายบริหาร เนื่องจากกัมพูชาละเมิดข้อตกลงอย่างชัดเจน พร้อมเน้นย้ำว่า MOU ไม่ใช่สนธิสัญญา (Treaty) แต่เป็นข้อตกลงที่มาจากการดำเนินการของฝ่ายบริหารล้วน ๆ 

“ทั้ง MOU ปี 43 และ 44 นั้นไม่เคยผ่านสภา และเป็นเรื่องของฝ่ายบริหารล้วน ๆ มาตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบัน แล้วอยู่ดีๆวันนี้ก็จะให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ส่วนตัวอยากให้มีการทบทวน เพราะถือว่าเสี่ยงพอสมควร เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีข้อมูลรายละเอียดของปัญหาที่เกิดขึ้น จะได้เห็นก้เฉพาะผ่านสื่อ” นายเกียรติกล่าว

นอกจากนี้ตามอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา (Vienna Convention on the Law of Treaties - VCLT) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ได้ระบุชัดเจนว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดการละเมิดข้อตกลง ก็จะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งตัดสินใจยกเลิกได้เลย โดยไม่ต้องไปถามใคร

เหตุผลหนักแน่นในการยกเลิก MOU ปี 43

คุณเกียรติชี้ว่า สำหรับ MOU ปี 2543 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนทางบก แม้จะมีการปักหมุดในพื้นที่ที่เห็นพ้องต้องกันไปแล้ว 60-70% แต่ ณ วันนี้ มีหลักฐานชัดเจนว่า กัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงแล้ว เหตุผลเหล่านี้เพียงพอ ที่ไทยจะยกเลิกMOU และเป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่จะทำได้เลย ได้แก่

  1. การยิงเข้าบ้านเรือนของพลเมืองไทย
  2. การยิงไปที่โรงพยาบาลชายแดนจนมีผู้เสียชีวิต
  3. การวางกับระเบิดเพิ่มอีก ทั้งที่ไทยและทั่วโลกเคยช่วยกันแก้ปัญหาผู้กับระเบิดที่วางไว้เดิม

สำหรับ MOU ปี 2544 ซึ่งเป็นเรื่องของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล นายเกียรติแสดงความกังวลว่า MOU ฉบับนี้ทำให้ไทยไปรับทราบการอ้างสิทธิ์ของกัมพูชา ซึ่งไม่สอดคล้องกับ convention ไหนเลย

ส่วนของ MOU 44  ที่น่ากังวลมากที่สุด คือ การลากเส้นโดยไม่คำนึงถึงภาระผูกพันในฐานะรัฐภาคีของกัมพูชา แล้วเราไปรับทราบ และบันทึกไว้ใน MOU และมีการลากเส้นไปพาดไปทับเกาะกูดเลย ซึ่งผิดกับอนุสัญญาที่กัมพูชาเองเป็นภาคีอยู่

นอกจากนี้ MOU 44 ยังกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมีการปักหมุดเรื่องเขตแดนให้จบสิ้นเสียก่อน จึงจะมาตกลงกันเรื่องผลประโยชน์ ซึ่งเท่ากับเป็นการปักปันเขตแดนอยู่ดี คุณเกียรติระบุว่า หากเป็นตนเองจะยก เลิก โดยไม่ต้องถามใคร

ประชามติยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา มีความเสี่ยง

นายเกียรติได้กล่าวถึงนโยบายการทำประชามติเรื่อง MOU ว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และอันตราย เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีข้อมูลรายละเอียดของการละเมิดที่เกิดขึ้น การที่อยู่ดี ๆ จะให้ประชาชนมาตัดสินใจในเรื่องของฝ่ายบริหารก็ดูกะไรอยู่ และอาจเป็นปมขัดแย้งมากขึ้นในสังคมไทย และการ เมืองไทย

คุณเกียรติให้ความเห็นว่า แม้จะเป็นนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว แต่หากการดำเนินการนั้นเสี่ยงกับผลประโยชน์ของประเทศอย่างยิ่ง รัฐบาลควรทบทวน และรัฐบาลทุกรัฐบาลต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ

ย้อนรอย การเจรจาฮุนเซน 

นายเกียรติ ยังได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ที่ตนเอง เคยเป็นผู้เจรจาเรื่องพื้นที่ทางทะเลกับนายกฯ ฮุน เซ็นในขณะนั้น โดยได้เสนอให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์ ด้วยการขุดเจาะพร้อมๆกัน โดยแบ่งปันผลประโยชน์ทางทะเลกันคนละครึ่ง โดยไม่เอาเรื่องเขตแดนมาพูดก่อน แต่ข้อเสนอ JDA (Joint Development Area)โมเดลนั้นไม่ได้รับการตอบรับ

คุณเกียรติมองว่า ณ วันนั้นท่าทีของกัมพูชาดูเหมือนไม่สนใจการแชร์พลังงานใต้ทะเลเท่าที่ควร แต่ดูเหมือนจะสนใจเศรษฐกิจที่เกาะกูดมากกว่า

ดังนั้น ก่อนที่จะมีการเจรจากับกัมพูชาต่อ ฝ่ายกัมพูชาต้องแสดงท่าทีที่จริงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีคำอธิบายเรื่อง การวางทุ่นระเบิดใหม่ หากฝ่ายไทยไม่มั่นใจว่ากัมพูชาจะทำตามข้อตกลง ก็สามารถยกเลิกได้เนื่องจากเป็นสิทธิอันชอบธรรมของประเทศไทย นายเกียรติกล่าวทิ้งท้าย