ญี่ปุ่น–สหรัฐ–สิงคโปร์ แห่ลงทุนไทย 8 เดือน ลงทะลุ 2.2 แสนล้าน

28 ก.ย. 2568 | 23:15 น.

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย 8 เดือนแรกปี 2568 ต่างชาติลงทุนในไทย 687 ราย เงินลงทุนรวม 225,536 ล้านบาท พุ่ง 125% ญี่ปุ่นครองแชมป์ ตามด้วยสหรัฐฯ สิงคโปร์ จีน และฮ่องกง

KEY

POINTS

  • ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ส.ค.) มีนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตให้เข้ามาลงทุนในไทยรวม 687 ราย คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนกว่า 225,536 ล้านบาท
  • นักลงทุน 3 ชาติหลักที่เข้ามาลงทุนตามจำนวนบริษัทคือ ญี่ปุ่น (125 ราย) สหรัฐอเมริกา (105 ราย) และสิงคโปร์ (93 ราย)
  • เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า พบว่ามูลค่าการลงทุนรวมเพิ่มขึ้น 125% และจำนวนบริษัทต่างชาติที่ได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้น 28%

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า 8 ดือน ปี 2568 (มกราคม - สิงหาคม) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 687 ราย

โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 181 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 506 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 225,536 ล้านบาท โดยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 

 ญี่ปุ่น 125 ราย คิดเป็นร้อยละ 18 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 71,844 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ  

  •   ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
  • ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ 
  • ธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพสินค้าประเภทเครื่องประดับ
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรทุกประเภท ชิ้นส่วนพลาสติกทุกประเภท ตัวถัง (frame) รวมทั้ง ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถบ้าน และรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร

สหรัฐอเมริกา 105 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 3,433 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ  

  •   ธุรกิจนายหน้าหรือตัวแทนในการรับจองห้องพัก โรงแรม และกิจกรรมนันทนาการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
  • ธุรกิจโฆษณา
  • ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและคำแนะนำด้านการบริหารจัดการธุรกิจ
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ และ Captive Screw for PCB

สิงคโปร์ 93 ราย คิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 68,495 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 

  • ธุรกิจนายหน้าและตัวแทนสำหรับการจองและซื้อขายโทเคนดิจิทัล (Digital Token) สำหรับโทเคนดิจิทัลที่ออกและดำเนินการโดยกระทรวงการคลัง
  • ธุรกิจบริการบริการ Data Center
  • ธุรกิจบริการให้ใช้ระบบบริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานพาหนะ ชิ้นส่วนสำหรับ Optical Device และ Terminal Connector

จีน 87 ราย คิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 20,785 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 

  • ธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
  • ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า
  • ธุรกิจบริการรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรอัตโนมัติที่มีขั้นตอนการออกแบบระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมการปฎิบัติงานด้วยสมองกลเอง ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์จากผงโลหะ และ Motor สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า

ฮ่องกง 74 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 12,372 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 

  • ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานและสัญญาแบ่งปันผลผลิตในอ่าวไทย
  • ธุรกิจบริการรับจ้างตัดโลหะ
  • ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานพาหนะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า ผลไม้แปรรูป และ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ถือได้ว่าการเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทยในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมข้างต้น มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการขุดเจาะปิโตรเลียม องค์ความรู้เกี่ยวกับการบำรุงรักษาสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว องค์ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการคลังสินค้า เป็นต้น 

นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 152 ราย (เพิ่มขึ้น 28%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 อนุญาต 687 ราย / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 อนุญาต 535 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 125,474 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 125%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 ลงทุน 225,536 ล้านบาท / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 ลงทุน 100,062 ล้านบาท) 

รวมถึง มีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น 2,394 คน (เพิ่มขึ้น 96%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 จ้างงาน 4,895 คน / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 จ้างงาน 2,501 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน 

นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 8 เดือน ปี 2568 (มกราคม - สิงหาคม) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC 197 ราย คิดเป็น 29% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 34 ราย (เพิ่มขึ้น 21%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 ลงทุน 197 ราย / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 ลงทุน 163 ราย) 

โดยมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 74,792 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจาก

  • จีน 48 ราย ลงทุน 14,862 ล้านบาท 
  • ญี่ปุ่น 47 ราย ลงทุน 27,153 ล้านบาท 
  • สิงคโปร์ 21 ราย ลงทุน 12,940 ล้านบาท  
  • ประเทศอื่นๆ 81 ราย ลงทุน 19,837 ล้านบาท 

โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ 

  • ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
  • ธุรกิจบริการออกแบบ จัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบเครื่องจักรและระบบการทำงานต่างๆ สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว
  • ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์
  • ธุรกิจบริการเขต Data Center
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าไมโครเวฟ ชิ้นส่วนยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป เป็นต้น

ทั้งนี้ เฉพาะเดือนสิงหาคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย 104 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 31 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 73 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 66,076 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ มีการจ้างงานคนไทย 810 คน 

รวมถึง มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการโปรแกรมออกแบบและพัฒนาเครื่องประดับ องค์ความรู้เกี่ยวกับแม่พิมพ์และการออกแบบ องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมกระบวนการผลิตด้วยหลักสถิติ เป็นต้น

สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในเดือนสิงหาคม 2568 ได้แก่  

  • ธุรกิจนายหน้าและตัวแทนสำหรับการจองและซื้อขายโทเคนดิจิทัล (Digital Token) สำหรับโทเคนดิจิทัลที่ออกและดำเนินการโดยกระทรวงการคลัง การจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
  • บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้คำปรึกษาด้านเทคนิค และการออกแบบและการวางระบบทำความเย็น เป็นต้น 
  • บริการ Data Center
  • บริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนสำหรับระบบใยแก้วนำแสง Motor สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น