KEY
POINTS
จับตาการประชุมวุฒิสภาในวันอังคารที่ 23 กันยายน 2568 นี้ ได้บรรจุวาระสำคัญที่ 4.1 เพื่อพิจารณารายงานการศึกษา เรื่อง “การเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจรที่มีกาสิโน” ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) วุฒิสภา
รายงานดังกล่าว เสนอโดย นายแพทย์วีระพันธ์ สุวรรณนามัย ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ ได้ถูกส่งมอบประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568
และได้ข้อสรุปที่เด่นชัดว่า โครงการผลักดัน Entertainment Complex ที่มี "กาสิโน" เป็นองค์ประกอบหลัก นั้น เป็นนโยบายที่ "ไม่เห็นชอบด้วยกับเนื้อหา หลักการ และกระบวนการ" เนื่องจากตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์และแฝงไว้ด้วยความเสี่ยงในหลายมิติ
การผลักดันเร่งด่วนของรัฐบาล : เรื่องเริ่มต้นเมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเป็น “เรื่องด่วน” โดยรัฐบาลอ้างเหตุผลว่า นโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-Made Destination)
ซึ่งรวมถึง “กาสิโน” เป็นองค์ประกอบหลัก เป้าหมายคือ ดึงดูดเงินลงทุนขนาดใหญ่ เพิ่มรายได้เข้าประเทศ และเป็นกลไกแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย
แต่การผลักดันอย่างเร่งรีบดังกล่าว ก่อให้เกิดข้อเคลือบแคลงสงสัยในสังคม เพราะรัฐบาลไม่สามารถให้คำชี้แจงที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาในหลายประเด็น โดยเฉพาะความกังวลต่อผลกระทบเชิงลึกด้านสังคม ศีลธรรม และสุขภาพ
บทบาทของคณะกรรมาธิการผู้สอบสวน
วุฒิสภาเล็งเห็นถึงความอ่อนไหวและความขัดแย้งในสังคม จึงมีมติเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ให้ตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) จำนวน 35 คน โดยมี นายแพทย์วีระพันธ์ สุวรรณนามัย เป็นประธาน ภารกิจของคณะกรรมาธิการฯ คือ การวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้านในมิติเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และนำเสนอข้อมูลเชิงวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจของวุฒิสภา
คณะกรรมาธิการวิสามัญได้ปฏิบัติงานภายในกรอบเวลา 180 วัน โดยใช้วิธีการศึกษาที่เข้มข้น มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญ 2 ชุด เพื่อเจาะลึกผลกระทบด้านสังคม กฎหมาย และผลกระทบและความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายภาคส่วนมาให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้แทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี, กระทรวงการคลัง, กระทรวงสาธารณสุข (กรมสุขภาพจิต), นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน) และมหาวิทยาลัยมหิดล, ผู้แทนองค์กรศาสนาหลักทุกศาสนา รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และตัวแทนจากบริษัทเกมมิ่งในต่างประเทศ
โดยรายงานการศึกษาฉบับนี้ถูกส่งมอบต่อประธานวุฒิสภาแล้วเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568
การพนันไม่ใช่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ สรุปอย่างหนักแน่นว่า การผลักดันร่างพระราชบัญญัติฯ ที่เน้น "กาสิโนเป็นองค์ประกอบหลัก" นั้น เป็นนโยบายที่ตั้งอยู่บน "สมมติฐานที่ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์" ถึงความเหมาะสมในบริบทของประเทศไทย โดยเป็นการ เบี่ยงเบนจากเป้าประสงค์ ของการพัฒนาสถานบันเทิงครบวงจรในภาพรวม
ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ: กิจกรรมการพนันเป็นการ “โอนถ่ายเงิน” จากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง โดยไม่ก่อให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการที่แท้จริง ในระบบเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ท้วงติงแล้วว่า เงินจากการพนันมีลักษณะเป็น “เงินโอน (Transfer)” ซึ่งจะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
อุตสาหกรรมเสื่อมถอย: อุตสาหกรรมบ่อนพนันขนาดใหญ่ทั่วโลกมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะ “ขาลง” หรือ Sunset Industry อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากถูกแทนที่ด้วยการพนันออนไลน์ (Online Gambling) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนในโครงการนี้จึงเป็นการส่งเสริมการลงทุนที่กำลังเผชิญความท้าทายอย่างยิ่ง
สมมติฐานรายได้ลวงตา: รัฐบาลคาดการณ์รายได้จากภาษีกาสิโนสูงกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี โดยตั้งอยู่บนข้อสมมติว่า คนไทยจะเข้าเล่นถึง 21 ล้านครั้งต่อปี แต่ข้อเท็จจริงคือ ร่างกฎหมายที่ ครม. เสนอกำหนดให้คนไทยที่จะเข้าเล่นต้องมี เงินฝากในบัญชีธนาคารเกิน 50 ล้านบาท ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 6 เดือน ผู้มีคุณสมบัติจริงตามเงื่อนไขนี้มี น้อยกว่า 10,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งทำให้สมมติฐาน 21 ล้านครั้งต่อปีนั้น “เกินจริง” และ “ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในเชิงตัวเลข” คณะกรรมาธิการฯ ตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็นเจตนาของรัฐบาลที่จะใส่เงื่อนไขเข้มงวดเพื่อ “บรรเทาความกังวลทางสังคม” แต่มีแผนที่จะแก้ไขเงื่อนไขนี้ในชั้นกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดให้คนไทยเข้าเล่นได้จำนวนมากตามที่คาดการณ์รายได้ไว้
ความเสี่ยงจากจีนและบัญชีดำ (Blacklist): หากไทยเปิดกาสิโน อาจต้องเผชิญกับมาตรการควบคุมเชิงรุกของรัฐบาลจีน ซึ่งมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเพื่อลงโทษผู้ชักชวนพลเมืองจีนไปเล่นพนันในต่างประเทศ และอาจมีการประกาศ “บัญชีดำ” จุดหมายปลายทางที่ถูกมองว่าเป็นแหล่งจูงใจให้ชาวจีนมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการพนัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนในมิติอื่น
ค่าเสียโอกาสการใช้พื้นที่รัฐมูลค่าสูง: การนำพื้นที่ยุทธศาสตร์มูลค่าสูงของรัฐ (เช่น พื้นที่การท่าเรือคลองเตย มูลค่าตลาดไม่ต่ำกว่า 250,000 ล้านบาท) ไปใช้สำหรับกิจการที่มีความเสี่ยงสูงอย่างกาสิโน อาจ ไม่สอดคล้องกับหลัก Highest and Best Use และมี ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) สูงมาก
การพนันคือโรคทางจิตเวช: องค์การอนามัยโลก (WHO) และสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (APA) ได้กำหนดให้ “การติดการพนัน” (Gambling Disorder) จัดอยู่ในกลุ่ม “พฤติกรรมเสพติด” (Behavioral Addiction) ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสมองส่วนควบคุมเหตุผล และมักนำไปสู่พฤติกรรมร่วมกันคือ การโกหก การลักขโมย และใช้ความรุนแรง
ต้นทุนการรักษาที่สูง: การรักษาภาวะพฤติกรรมเสพติดไม่มียารักษาโดยตรง ต้องใช้กระบวนการฟื้นฟูสมองส่วนเหตุผล และมีอัตราการรักษาหายขาดที่ดีที่สุดในระดับโลกอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 50 เท่านั้น การพนันยังเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมในการบำบัดรักษา
อาชญากรรมซับซ้อนและฟอกเงิน: กาสิโนเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อการก่ออาชญากรรมและกิจกรรมผิดกฎหมาย มีความเสี่ยงที่จะเป็นแหล่ง ฟอกเงิน (Money Laundering) และเป็นช่องทางขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งตอกย้ำถึงความกังวลต่อศักยภาพและความโปร่งใสของการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐไทยในการควบคุมอาชญากรรม
การเปิดกาสิโนขัดแย้งกับหลักศีลธรรมอันดีของสังคมไทย
ศาสนาพุทธ: มองว่าการพนันเป็นหนึ่งใน “อบายมุข 6” หรือหนทางแห่งความเสื่อม
ศาสนาอิสลาม: ถือว่าการพนัน (มะยิสิร) เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) โดยโทษมีน้ำหนักมากกว่าประโยชน์ที่อาจได้รับ
ศาสนาคริสต์ และพราหมณ์–ฮินดู: เน้นการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยความโลภและนำไปสู่ความพินาศ
คณะกรรมาธิการฯ ระบุว่า การรับรองให้บ่อนกาสิโนถูกกฎหมายเท่ากับเป็นการ ลดทอนความศรัทธา และเปลี่ยนทัศนคติของเยาวชนต่อศีลธรรม
ขัดต่อหลักนิติธรรม: กฎหมายที่อนุญาตให้มีกาสิโนถือเป็นการย้อนแย้งต่อ “สำนึกในศีลธรรมอันดีของประชาชน” (Good conscience of the People) ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 และมาตรา 26
การรวมศูนย์อำนาจ: องค์ประกอบของ “คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร” ตามร่างกฎหมาย ซึ่งมีกลุ่มบุคคลเดียวกับคณะรัฐมนตรีเกือบทั้งหมด และมีอำนาจกว้างขวาง รวมถึงการเสนอให้ ครม. สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกกฎหมายหรือกฎที่เห็นว่าก่อให้เกิดความล่าช้า ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้อำนาจในเชิงอัตวิสัย (arbitrary power) และมีลักษณะเป็นการ รวมศูนย์อำนาจ โดยปราศจากการถ่วงดุลและการตรวจสอบที่เพียงพอ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3
ขัดต่อแนวนโยบายแห่งรัฐ: โครงการนี้มีลักษณะเป็น Mega Project ที่ดำเนินการโดยทุนข้ามชาติ และไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง ที่เน้นความสมดุลระหว่างการพัฒนาวัตถุและการพัฒนาจิตใจ
คณะกรรมาธิการวิสามัญเสนอทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ที่ดีกว่า คือ การพัฒนา “Wellness Complex” (ศูนย์สุขภาพแบบองค์รวม) ซึ่งถือเป็น Sunrise Sector (อุตสาหกรรมขาขึ้น) ที่สอดคล้องกับจุดแข็งของประเทศไทยด้านการแพทย์และระบบสาธารณสุข
Wellness Complex สามารถสร้างรายได้จาก “เงินสีขาว” (clean money) ที่โปร่งใส ลดความเสี่ยงด้านอาชญากรรม และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ โดยไม่ขัดต่อหลักศีลธรรม และสอดคล้องกับการตอบสนองต่อสังคมสูงวัย
คณะกรรมาธิการวิสามัญได้สรุปข้อเสนอแนะต่อวุฒิสภา โดยมีมติในฉากทัศน์เชิงอุดมคติ (Best-case Scenario) ว่า ไม่สนับสนุนให้มีการประกอบธุรกิจกาสิโนในประเทศไทย
สำหรับแนวทางการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว คณะกรรมาธิการฯ มีข้อเสนอแนะที่ชัดเจน
1. เสนอให้รัฐบาลทบทวน: วุฒิสภาควรเสนอให้รัฐบาลพิจารณา ทบทวนและแก้ไขเนื้อหา ของร่างพระราชบัญญัติฯ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในมิติการคุ้มครองสิทธิของชุมชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการยึดมั่นในหลักนิติธรรมและศีลธรรมอันดีของประชาชน
2. มติไม่เห็นชอบคือทางเลือกที่ดีที่สุด: หากรัฐบาลยังคงยืนยันเดินหน้าโดยที่ข้อกังวลพื้นฐานทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ยังมิได้รับการแก้ไขอย่างชัดเจนและเพียงพอ วุฒิสภาควรแสดงท่าทีไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นทั้งในด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศในอนาคตต่อไป
3. ทำประชามติ: หากรัฐบาลยังยืนยันที่จะออกกฎหมาย ควรสื่อสารข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบอย่างรอบด้าน และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยกระบวนการ ทำประชามติ ว่าเห็นควรอนุญาตให้มีธุรกิจกาสิโนในประเทศไทยหรือไม่ เนื่องจากผลสำรวจของนิด้าโพลชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.60 เห็นด้วยกับการทำประชามติ ในเรื่องนี้