‘คนละครึ่ง’ 2568 บพท.แนะรัฐหาช่องอุ้มครัวเรือนเปราะบาง

21 ก.ย. 2568 | 11:02 น.

‘คนละครึ่ง’ 2568 ล่าสุด บพท. แนะรัฐบาลเพิ่มแนวทางช่วยครัวเรือนเปราะบาง ดึงร้านค้าชุมชนท้องถิ่นเข้าร่วมสะดวกขึ้น หวังกระจายเงินได้ทั่วถึง กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากแก้ความเหลื่อมล้ำ

โครงการ ‘คนละครึ่ง’ โฉมใหม่ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล เริ่มมีความชัดเจนขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลประกาศความพร้อมดำเนินการทันที เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ-กำลังซื้อประชาชาในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2568 

ล่าสุด นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) แสดงความเห็นถึงการฟื้นโครงการคนละครึ่งกลับมาใช้ว่า จากข้อมูลที่มีในระดับพื้นที่พบว่าโครงการนี้ได้พิสูจน์มาแล้วว่าสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และสามารถเป็นนโยบายที่ช่วยให้เศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ ทำให้ระบบภาษีดีขึ้นไปด้วย

ขณะเดียวกันยังมองว่า โครงการ ‘คนละครึ่ง’ ครั้งนี้ยังช่วยในเรื่องของการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างผู้ประกอบการ กับรัฐบาล แล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนไปในตัว แต่ควรมีการปรับปรุงนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ในท้องที่ และท้องถิ่นทั่วประเทศ จะมีประโยชน์มากขึ้น 

รวมทั้งควรมีการกำหนดเงื่อนไขเชิงนโยบาย เช่น เงื่อนไขที่จะจัดหาความช่วยเหลือ ให้กับครัวเรือนเปราะบาง หรือความสอดคล้องของนโยบายคนละครึ่งกับนโยบายอื่น เช่น บัตรสวัสดิการภาครัฐ เข้ามามีส่วนร่วม เพราะเชื่อว่า หากสามารถปรับปรุงและเพิ่มเงื่อนไขนโยบายจะเชื่อมโยงไปสู่ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการพัฒนายกระดับเศรษฐกิจฐานรากไปในตัว ไม่เกิดการกระจุกตัวด้วย

นายกิตติ กล่าวอีกว่า บพท.ยังต้องการให้รัฐบาลใหม่มีแนวนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชนแบบพุ่งเป้า ภายหลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศนโยบายการแก้ปัญหาเร่งด่วนทั้งการปรับโครงสร้าง และทำนโยบายเชิงรุก เช่น นโยบายสวัสดิการเชิงรุกที่ครอบคลุม โดยอาจจะปรับปรุงจากโครงการเดิมเช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งการคิดระบบสวัสดิการที่ลงถึงระดับครัวเรือน

“สิ่งที่จำเป็นคือการสร้างระบบข้อมูลชี้เป้าควบคู่กับการสร้างความร่วมมือกับกลไกพื้นที่ ท้องที่ท้องถิ่น เพื่อชี้เป้าและทำให้คนจนตกหล่นในพื้นที่ต่าง ๆ เข้าถึงสวัสดิการได้ โดยปรับรูปแบบโครงสร้างนโยบายเช่น โครงการความช่วยเหลือต่าง ๆ ที่เป็นโครงการพัฒนาอาชีพ พัฒนาทักษะต่าง ๆ ต้องกำกับติดตามให้เป็นโครงการพัฒนาที่เข้าถึงระดับครัวเรือน และทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทักษะอาชีพอย่างยั่งยืนด้วย”นายกิตติ กล่าว 

ส่วนของนโยบายด้านการรับมือกับภัยพิบัติ เห็นว่า เป็นนโยบายที่สำคัญ ซึ่งนอกจากกลไกในเรื่องของการสร้างระบบเตือนภัยในส่วนของการปรับโครงสร้างการผลิต การพัฒนาทักษะอาชีพ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ให้รองรับภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการนำเอาความรู้ที่ได้จากการวิจัยมาใช้ในการปรับโครงสร้างภาคการผลิต ปรับเปลี่ยนอาชีพที่สอดคล้องกับบริบทสิ่งแวดล้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติได้ต่อไป