'เศรษฐพุฒิ' หวั่นไทยถูกลดเครดิตประเทศ แนะปรับสมดุลการคลัง

16 ก.ย. 2568 | 09:44 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ย. 2568 | 14:40 น.

'เศรษฐพุฒิ' ผู้ว่า ธปท. ห่วงเสถียรภาพการคลัง กระทบเครดิตประเทศ ลั่นไม่เห็นความจำเป็นออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะเก็บกระสุนไว้ช่วงจำเป็น

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หากมองไปข้างหน้า เรามีความกังวล เรื่องเสถียรภาพการคลัง เนื่องจากยังมีประเด็นที่ต้องจับตามอง เพราะภาคการคลังไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งช่วงโควิด ต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างมาก แต่สิ่งที่เราอยากเห็นหลังจากนี้ คือ เมื่อใช้กระสุนแล้ว ต้องมีการรัดเข็มขัด เพื่อให้ฐานะการคลังกลับมาสร้างเสถียรภาพระยะปานกลางให้สูงขึ้น  

สำหรับมิติปกติของเศรษฐกิจ เกิดได้จาก 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การคลัง ดุลชำระเงิน-ค่าเงิน และหนี้จากสถานบันการเงิน ซึ่งในภาพรวมประเทศไทยขณะนี้ยังไปได้ แต่เรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ คือ เรื่องการดูแลเสถียรภาพการคลัง มิฉะนั้น แรงโน้มถ่วงจะนำไปสู่การใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งยังไม่เห็นว่ามีความจำเป็น เพราะกระสุนที่มีอยู่มีจำกัด มีความเสี่ยงหากต้องนำมาใช้ในช่วงที่จำเป็น และเสี่ยงที่ประเทศจะถูกปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้ง

ทั้งนี้ ช่วงเกิดวิกฤตรัฐบาลมีรายจ่ายเร่งขึ้น ส่วนรายได้ลดลง ขณะที่การขาดดุล และหนี้เพิ่มขึ้น โดยค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา รายจ่ายรัฐบาลเติบโต 4% ส่วนรายได้ โตเพียง 1.7% หากปล่อยไปเช่นนี้สัญญาณที่จะเกิดขึ้น จะไม่สอดคล้องกับความยั่งยืน และมีความเสี่ยงในการโดยปรับลดเครดิตเรตติ้งประเทศ 

”กรอบความยั่งยืนทางการคลัง เรายังไม่เห็น สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่เพิ่มขึ้น ยังไม่ได้ลดลง และสมมติฐานที่ใส่ไว้ปรับลดลงได้ไม่ง่าย เพราะเราเห็นแนวโน้มรายได้ของรัฐชะลอตัวลง ส่วนรายจ่ายมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ไม่สอดคล้องกับเทรนด์ หรือภาพที่เราเห็นในอดีต จึงเป็นที่มาของเครดิตเรทติ้งที่จับตาดูเรา“ 

ขณะที่การแก้ปัญหาหนี้สิน ยังเป็นเรื่องที่ต้องทำ ซึ่งมองว่าจะต้องแก้จากปัญหารายได้ของประชาชน และปรับโครงสร้างหนี้ 

ทั้งนี้ ภาพระยะยาว ยังมีความกังวลเรื่องสินเชื่อเอสเอ็มอี เทรนด์ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เอสเอ็มอีอยู่ 7% ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ที 1% ซึ่งปัญหาที่เผชิญเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งมองว่ากลไกค้ำประกัน เช่น NACGA ยังจำเป็น หรือหากไม่ใช้ส่วนนี้ ก็สามารถปรับเป็นรูปแบบอื่นก็ได้ เช่น การปรับกลไกของบสย. เพราะหากไม่มีส่วนใดมาช่วย การฟื้นของสินเชื่อจะยากมาก