นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้จัดงาน "ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press)” เป็นครั้งที่ 2 ของปี 2568 แต่เป็นครั้งสุดท้ายในฐานะผู้ว่าการ ธปท.ก่อนจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2568
นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563-2568) เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง หลายเรื่องไม่ เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตโรคระบาด สงครามที่ส่งผลเป็นวงกว้าง ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่หยั่งรากลึกมานาน
ในฐานะองค์กรที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ธปท. จำเป็นต้องดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบและยืดหยุ่น ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังต้อง วางรากฐานให้เศรษฐกิจแข็งแรงพอที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ภายใต้ภารกิจหลัก 3 ด้าน คือ
หัวใจสำคัญของการดำเนินนโยบายคือ การผสมผสานใช้เครื่องมือที่ หลากหลาย หรือ "Integrated Policy Mix" เพราะ ธปท. ตระหนักดีว่า เครื่องมือหลักอย่าง "ดอกเบี้ย" นั้น จะส่งผลกระทบในวงกว้าง (Blunt Tool) อาจไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์
ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจึง ต้องอาศัยเครื่องมืออื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางการเงินระยะสั้นที่ตรงจุด หรือการปฏิรูปเชิง โครงสร้างในระยะยาว
1. ปี 2563-2564: รับมือวิกฤต COVID-19
ในปี 2563 กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักอย่างฉับพลันจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งทำให้ GDP หดตัวถึง 6.1% และอัตราการว่างงานสูงขึ้น
ธปท. ได้ดำเนินมาตรการทางการเงินที่ยืดหยุ่น เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% พร้อมกับการออกมาตรการช่วยเหลือ เช่น การพักชำระหนี้ให้กับธุรกิจและครัวเรือนในวงกว้าง และการปรับปรุงมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างการฟื้นตัวให้เศรษฐกิจไทยได้ในปีถัดมา (GDP ขยายตัว 1.6% ในปี 2564)
2. ปี 2565: ประคองการฟื้นตัวท่ามกลางเงินเฟ้อ
ในปี 2565 เศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวในลักษณะ "K-shaped Recovery" ท่ามกลางปัญหาความไม่เสถียรจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อไทยแตะระดับสูงสุดที่ 7.9%
ธปท. ได้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุด โดยปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างระมัดระวังและถอนมาตรการช่วยเหลือบางส่วน ในที่สุดเงินเฟ้อก็ลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายภายใน 7 เดือน
3. ปี 2566-2567: วางรากฐานการเงิน
ในช่วงปี 2566-2567 ธปท. มุ่งเน้นการวางรากฐานในระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ต่อ GDP และการพัฒนาภาคการเงินเพื่อรองรับการปรับตัวของเศรษฐกิจ
การดำเนินการในช่วงนี้รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.5% เพื่อรักษาสมดุลเศรษฐกิจและการเติบโตในระยะยาว ธปท. ยังได้ผลักดันการพัฒนาภาคการเงินให้มีความยืดหยุ่น และสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
4. ปี 2568-ปัจจุบัน: สนับสนุนการปรับตัวรับโลกใหม่
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญกับความท้าทายใหม่จากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ (US Tariffs) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลก ธปท. ได้ปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายมากขึ้น โดยลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.5% เพื่อบรรเทาภาระหนี้และช่วยให้ธุรกิจและครัวเรือนสามารถปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลก
ธปท. ยังให้ความสำคัญกับนโยบายระยะยาวเพื่อ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการพัฒนาภาคการเงินให้ สามารถสนับสนุนการปรับตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยมีนโยบายสำคัญดังนี้
1.การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน:
ธปท. ได้ยกระดับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยการออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) และมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (persistent debt) ซึ่งมุ่งปรับปรุงวิธีการคิดดอกเบี้ยผิดนัดให้เป็นธรรมขึ้น และปรับวิธีการดำเนินมาตรการแก้หนี้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าผู้เข้าร่วมมาตรการยังคงต่ำกว่าที่คาดไว้
2.การผลักดันภูมิทัศน์ภาคการเงินใหม่ (New Financial Landscape):
3.การสนับสนุนการปรับตัวรับโลกใหม่ (ปี 2568 ปัจจุบัน):
ธปท. ปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายมากขึ้น โดยลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.5% เพื่อบรรเทาภาระหนี้ให้กับธุรกิจและครัวเรือนที่เปราะบาง พร้อมกับโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" เพื่อช่วยลดภาระหนี้และช่วยให้ผู้กู้สามารถรักษาทรัพย์สินและฟื้นตัวได้
ภารกิจสำคัญอีกด้านคือการสร้างความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการทางการเงินในระบบการเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยและทั่วถึง โดยมีการออกมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน รวมถึงการกำหนดมาตรฐาน Mobile Banking Security